เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด แถลงยืนยันล่าสุดเมื่อวานนี้(20 มิ.ย)ว่า กัญชาจะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในแคนาดาในวันที่ 17 ต.ค ที่จะถึง และคาดหวังว่ารัฐบาลจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการทำให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายที่แต่เดิมแก๊งอาชญากรเคยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(21 มิ.ย) ว่า เป็นการออกมาให้สัมภาษณ์กับสาธารณะครั้งแรกหลังจากที่สภาสูงแคนาดาได้ออกเสียงผ่านร่างกฎหมายให้การใช้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งทำให้แคนาดาเป็นชาติแรกในกลุ่ม G7 ที่ประกาศให้กัญชาสามารถใช้ได้ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด แถลงในวันพุธ(20)ว่า
“อย่างที่เห็นได้ชัดว่าการเข้าถึงในปัจจุบันนี้ การห้ามเสพกัญชาในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถปกป้อง และยัวไม่สามารถทำให้กลุ่มอาชญากรขาดรายได้ จึงเป็นสาเหตุว่าทางเราจึงได้นำกรอบการทำงานใหม่ในการประกาศให้กัญชากลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเข้ามาใช้แทน”
สื่ออังกฤษชี้ว่า รัฐบาลคนาดาของเขาได้เสนอร่างกฎหมายกัญชาในปีที่ผ่านมา เป็นความพยายามที่จะทำให้แคนาดากลายเป็นชาติที่ 2 ในโลกตามหลังอุกรุกวัยให้การใช้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์นั้นถูกอนุญาตให้กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายก่อนหน้าแล้ว
นายกรัฐมนตรีแคนาดาควาดหวัง การยุติคำสั่งห้ามเสพกัญชาอายุกว่า 95 ปีจะส่งผลกำไรจำนวนมหาศาลร่วม 6 พันล้านดอลลาร์แคนาดา (4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ที่ไหลเข้าสู่ตลาดมืด และมากกว่านั้นในเดือนถัดมา และแน่นอนในแต่ละปี “ทางเราจะสามารถเข้าแทนที่ตลาดผิดกฎหมายของแก๊งอาชญากรได้เกือบทั้งหมด” ทรูโดประกาศ
ทั้งนี้ในเบื้องต้น ทางรัฐบาลแคนาดาคาดว่าจะสามารถทำให้การจัดจำหน่ายในร้านอย่างถูกกฎหมายได้เร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคมปีนี้ นายกรัฐมนตรีแคนาดาแถลง และได้ชี้แจงสาเหตุความล่าช้าว่า “แต่ทว่าทางเราได้รับแจ้งจากทางจังวัดว่า พวกเขาต้องการเวลาในการจัดการเตรียมความพร้อมร้านค้าและการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ให้พร้อมก่อน”
“ทางผู้ผลิตต้องการเวลาที่จะสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อทำให้ประสบความสำเร็จตามแผนการของทางรัฐบาล...ซึ่งทางเราต้องการทำให้สิ่งนี้ถูกต้อง”
ซึ่งหลังจากที่การบังคับใช้กฎหมายกัญชาถูกกฎหมายแล้ว เดอะการ์เดียนชี้ว่า พลเมืองแคนาดาจะสามารถปลูกกัญชาภายในที่พักของตัวเองได้มากที่สุด 4 ต้น และสามารถพกพากัญชาแห้งติดตัวได้จำนวน 30 กรัมในกลุ่มผู้ใหญ่ ซึ่งหากพกพาเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือแจกกัญชาให้กับผู้เยาว์ จะต้องได้รับโทษร้ายแรงตามกฎหมาย