เอเอฟพี - ศาลสหรัฐฯ พิพากษาอนุญาตข้อตกลงควบกิจการแนวดิ่งระหว่างยักษ์ใหญ่โทรคมนาคม AT&T กับอาณาจักรสื่อบันเทิง ไทม์ วอร์เนอร์ (Time Warner) ซึ่งถือเป็นดีลควบรวมสื่อครั้งประวัติศาสตร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 85,000 ล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) หยิบยื่นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ให้แก่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะของการผูกขาดและบั่นทอนการแข่งขัน
ผู้พิพากษาศาลแขวง ริชาร์ด เลียน ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานยืนยันได้ว่า การควบกิจการระหว่างเจ้าของธุรกิจเพย์ทีวีรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ กับยักษ์ใหญ่สื่อบันเทิงจะส่งผลเสียต่อการแข่งขันในตลาดอย่างไร
คดีนี้ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ เพราะคำตัดสินของศาลจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้กับดีลควบกิจการระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมของสหรัฐฯ
เลียน ระบุว่า การที่กระทรวงยุติธรรมยื่นฟ้องคัดค้านไม่ให้ AT&T เข้าซื้อกิจการ ไทม์ วอเนอร์ นั้นไม่มีเหตุผลรองรับ และรัฐบาลไม่ควรอุทธรณ์คำตัดสิน เพราะจะก่อความเสียหาย “ที่ไม่อาจแก้ไขได้” ให้แก่ทั้ง 2 บริษัทซึ่งถูกชะลอแผนควบกิจการมานานถึง 1 ปีครึ่งแล้ว
ในคำพิพากษาความยาว 172 หน้ากระดาษ ผู้พิพากษา เลียน ชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถพิสูจน์ทฤษฎี 3 ข้อที่อ้างว่าผู้บริโภคจะได้รับความเสียหายจากดีลดังกล่าว ส่วนที่อ้างว่าจะทำให้ราคาเพย์ทีวีแพงขึ้นก็เป็นแค่การใช้ตรรกะ “คาดเดา” เอาเอง
แดเนียล เปโตรเซลลี หัวหน้าทีมกฎหมายของ AT&T และ ไทม์ วอร์เนอร์ ให้สัมภาษณ์สื่อที่ด้านนอกศาลว่า คำพิพากษาครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างข้อครหาของรัฐบาลได้อย่าง “ดีงามและเหมาะสม” แม้จะต้องเสียเวลานานถึง 18 เดือนกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ตาม
เดวิด แมคคาที ที่ปรึกษาทั่วไปของ AT&T ระบุในถ้อยแถลงว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสินของศาล และคาดว่าจะสามารถปิดดีลกับ ไทม์ วอร์เนอร์ ได้ภายในวันที่ 20 มิ.ย.
ข้อตกลงฉบับนี้จะทำให้ธุรกิจเครือข่ายบรอดแบนด์ไร้สายและไดเร็กทีวีของ AT&T ถูกผนวกรวมเข้ากับกิจการสื่อของ ไทม์ วอร์เนอร์ ซึ่งครอบคลุมทั้งสถานีโทรทัศน์ CNN และช่องเคเบิลอื่นๆ อย่าง Cartoon Network, HBO และ วอร์เนอร์บราเธอร์ส สตูดิโอ
มากัน เดลราฮิม หัวหน้าแผนกต่อต้านการผูกขาดของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า กระทรวงรู้สึก “ผิดหวัง” กับคำตัดสินของศาล และกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร
“เรายังเชื่อว่าการควบกิจการ AT&T กับ ไทม์ วอร์เนอร์ จะทำให้ตลาดเพย์ทีวีมีการแข่งขันและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น้อยลง” เขากล่าว
จอห์น เบิร์กเมเยอร์ จากองค์กรเพื่อผู้บริโภค Public Knowledge เชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะอุทธรณ์คำตัดสิน พร้อมระบุว่าดีลนี้ไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายโดยตรงจากค่าธรรมเนียมบอกรับที่อาจแพงขึ้น รวมถึงตัวเลือกช่องทีวีและผู้ให้บริการที่ขาดความหลากหลาย แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ทำตามอย่าง
นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า คำพิพากษาของศาลจะเป็นการเปิดไฟเขียวสำหรับดีลควบกิจการอื่นๆ เช่น กรณีที่วอลท์ดิสนีย์เสนอเข้าซื้อกิจการและลิขสิทธิ์หนังของ 21st Century Fox และข้อตกลงควบรวมผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ T-Mobile กับ Sprint
AT&T และ ไทม์ วอร์เนอร์ อ้างว่าจำเป็นต้องขยายองค์กรให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถสู้กับบริษัทคู่แข่งอย่าง Netflix และ Amazon รวมถึงยักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนแวลลีย์อย่าง กูเกิล, เฟซบุ๊ก และแอปเปิล