นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮาหมัด แห่งมาเลเซียประกาศมาตรการลดหนี้สาธารณะกว่า 1 ล้านล้านริงกิต หรือ 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่เป็นมรดกตกทอดจากรัฐบาลชุดก่อน พร้อมตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจสืบสาวเอาผิดกับอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก กรณียักยอกเงินกองทุนของรัฐ
กลุ่มฝ่ายค้าน “ปากาตัน ฮาราปัน” ซึ่งนำโดย มหาเธร์ คว้าชัยชนะแบบหักปากกาเซียนในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นสัญญาจะลดปัญหาค่าครองชีพสูง และล้างบางการทุจริตคอร์รัปชันที่กระทำกันอย่างโจ๋งครึ่มภายใต้การบริหารของกลุ่ม บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ที่มี นาจิบ เป็นผู้นำ
หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีหนแรกในวันพุธ (23 พ.ค.) มหาเธร์ วัย 92 ปี ได้เผยต่อสื่อมวลชนว่า มาเลเซียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญหนี้สาธารณะสูงถึง 65% ของจีดีพี ซึ่งสาเหตุสำคัญก็มาจากพฤติกรรมฉ้อโกงและการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดที่แล้ว
“หนี้สาธารณะที่แท้จริงของเราสูงถึง 1 ล้านล้านริงกิต และรัฐบาลกำลังมองหาวิธีที่จะลดหนี้เหล่านี้ลง” ผู้นำเสือเหลืองกล่าว
รัฐบาลนาจิบอ้างมาโดยตลอดว่า หนี้สาธารณะของมาเลเซียยังคงต่ำกว่าเพดาน 55% ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเอง แต่ มหาเธร์ เผยในสัปดาห์นี้ว่าตัวเลขดังกล่าวได้พุ่งขึ้นไปถึง 65% แล้ว และเชื่อว่าที่ผ่านมาสถิติการคลังเหล่านี้ถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตกแต่งแก้ไขให้ดูดีกว่าความเป็นจริง
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส รายงานเมื่อเดือน มี.ค. ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของมาเลเซียในขณะนั้นอยู่ที่ 51% ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูง และหากยังปล่อยให้เพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
มหาเธร์ ประกาศจะหั่นเงินเดือนคณะรัฐมนตรีลง 10% และลดจำนวนข้าราชการพลเรือนให้เหลือเท่าที่จำเป็นเพื่อประหยัดรายจ่าย
ตามข้อมูลในเว็บไซต์รัฐสภามาเลเซีย เงินเดือนนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันอยู่ที่ 22,827 ริงกิต (ราว 184,500 บาท), รองนายกรัฐมนตรี 18,168 ริงกิต (ประมาณ 146,800 บาท), รัฐมนตรี 14,907 ริงกิต (ประมาณ 120,400 บาท) และรัฐมนตรีช่วย 10,848 ริงกิต (ประมาณ 87,600 บาท)
นายกฯ เสือเหลืองยังประกาศทบทวนเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่อนุมัติโดยรัฐบาลชุดเก่าว่าโครงการใดคุ้มค่าที่จะดำเนินการต่อ และโครงการใดที่สมควรยกเลิกหรือชะลอไปก่อน หนึ่งในนั้นคือโครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 350 กิโลเมตรระหว่างสิงคโปร์กับกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 50,000 ล้านริงกิต
ในส่วนของภารกิจค้นหาเครื่องบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ ซึ่งรัฐบาลนาจิบได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท โอเชียน อินฟินิตี ของสหรัฐฯ ให้เป็นผู้ดำเนินการ ก็จะยุติลงในวันที่ 29 พ.ค. โดยไม่มีการต่อสัญญา
ภาษีสินค้าและบริการ (GST) จะถูกยกเลิกอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ 1 มิ.ย. ตามที่ มหาเธร์ ได้เคยประกาศไปก่อนหน้า ซึ่งการเก็บภาษี GST นี้ถือเป็นสิ่งที่พลเมืองมาเลเซียส่วนใหญ่ไม่พอใจ เพราะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถาบันมูดีส์เตือนว่า การยกเลิกภาษี GST ซึ่งจะสร้างรายได้ให้รัฐบาลสูงถึง 48,300 ล้านริงกิตในปีนี้ และหันกลับมาใช้นโยบายตรึงราคาเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น จะยิ่งเป็นการก่อหนี้สิน และอาจทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของมาเลเซียกลายเป็น “ลบ” หากไม่หารายได้ส่วนอื่นๆ มาชดเชย
นายกฯ มหาเธร์ ยังประกาศตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสางคดียักยอกเงินกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) ซึ่งถือเป็นคดีฉ้อโกงที่บั่นทอนคะแนนนิยมของกลุ่มบีเอ็นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่หันไปเทคะแนนหนุนฝ่ายค้านในศึกเลือกครั้งล่าสุด
นาจิบ และภริยา รอสมะห์ มันซูร์ ต้องเผชิญความอับอายหลายอย่างทันทีที่หมดอำนาจ ทั้งการถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ โดนตำรวจค้นบ้าน และทรัพย์สินจำนวนมากถูกยึด
ตำรวจมาเลเซียพบเงินสดสกุลต่างๆ รวมถึงเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาลที่ถูกซุกซ่อนในกระเป๋าแบรนด์เนมร่วมร้อยใบ ระหว่างตรวจค้นบ้านพักและอพาร์ตเมนต์หรูหลายแห่งของครอบครัว นาจิบ เพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงเงิน1MDB
คดีนี้เริ่มตกเป็นข่าวคึกโครมตั้งแต่ปี 2015 หลังสื่อต่างประเทศออกมาแฉเรื่องเงินสด 681 ล้านดอลลาร์ที่ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของ นาจิบ แบบมีเงื่อนงำ ขณะที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นแค่ “เงินบริจาค” จากเจ้านายในราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียพระองค์หนึ่ง
เชื่อกันว่าเงินหลายพันล้านดอลลาร์ของ 1MDB ถูกยักย้ายถ่ายเทไปทั่วโลกผ่านโครงข่ายธุรกรรมอันซับซ้อน และแม้ นาจิบ จะอ้างว่าไม่มีการทุจริตใดๆ เกิดขึ้น แต่กลับพยายามขัดขวางกระบวนการสอบสวนโดยสั่งปลดอัยการสูงสุดและเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของมาเลเซีย (MACC) อีกหลายคน
โมฮาหมัด ชุกรี อับดุล ซึ่งได้รับการคืนตำแหน่งประธาน MACC โดยรัฐบาล มหาเธร์ ออกมาเปิดทั้งน้ำตาว่า เคยมีคนส่ง “ลูกปืน” ไปข่มขู่ตนถึงบ้านระหว่างที่พยายามค้นหาหลักฐานเอาผิด นาจิบ ในช่วงปี 2015 ส่วนพยานหลายรายก็ถูกบังคับสูญหาย และเจ้าหน้าที่รัฐโดนข่มขู่ หรือไม่ก็ถูกปลด
นาจิบ ถูกเรียกตัวเข้าให้ปากคำกับ MACC เมื่อวันอังคาร (22) เพื่ออธิบายที่มาที่ไปของเงิน 10.6 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 42 ล้านริงกิต ซึ่งถูกโอนจากบริษัท เอสอาร์ซี อินเทอร์เนชันแนล ไปโผล่เข้าบัญชีส่วนตัวของเขา
เอสอาร์ซีนั้นเป็นบริษัทที่รัฐบาล นาจิบ ก่อตั้งเมื่อปี 2011 เพื่อลงทุนด้านพลังงานในต่างประเทศ และเคยเป็นหน่วยงานหนึ่งของ 1MDB ก่อนจะถูกโอนไปสังกัดกระทรวงการคลังเมื่อปี 2012
MACC สามารถแกะรอยเส้นทางเงินที่โอนจากเอสอาร์ซีได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นการทำธุรกรรมผ่านบริษัทในมาเลเซียเอง ขณะที่เงินทุน 1MDB ส่วนใหญ่ถูกยักย้ายถ่ายโอนผ่านธนาคารและบริษัทต่างชาติ
คณะสืบสวนเฉพาะกิจของมาเลเซียเตรียมจะประสานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ แคนาดา และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามนำเงินกองทุนกลับคืนมา ซึ่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยืนยันแล้วว่าจะเดินหน้าคลี่คลายคดี 1MDB ต่อไป และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของมาเลเซีย