รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – เจ้าหน้าที่รัฐที่ 3 ทางใต้ของอินเดียกำลังตรวจสอบวันนี้(25 พ.ค)ว่า เคสผู้ป่วย 2 รายนั้นเกิดมาจากไวรัสโรคสมองอักเสบนิปาห์(Nipah virus) ที่ในเวลานี้ยังไม่มีวัคซีนรักษาด้วยหรือไม่ หลังจากคร่าชีวิตในอินเดียไปแล้ว 12 ราย ส่วน 2 บริษัทไบโอเทคสัญชาติสหรัฐฯ ได้รับสัญญามูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ เร่งพัฒนาวัคซีนทดลอง
รอยเตอร์รายงานวันนี้(25 พ.ค)ว่า การระบาดด้วยไวรัสทำลายสมองที่เกิดมาจากค้างคาวผลไม้ โรคไข้สมองอักเสบนิปาห์(Nipah virus) ที่ในเวลานี้ยังไม่มีทางรักษา รวมทั้งไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งวิธีการรักษาเดียวที่ใช้อยู่คือ การรักษาแบบประคับประครอง ย่อมเป็นที่หวั่นวิตกในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมหาศาล
โดยพบว่าล่าสุดมีชาวอินเดียเสียชีวิตจากโรคไข้สมองอักเสบนิปาห์ไปแล้ว 12 คนที่รัฐเกรละทางใต้ของอินเดีย
ที่ผ่านมาโรคนี้ยังไม่ได้ระบาดออกนอกพื้นที่รัฐเกรละ รัฐบาลแถลงหลังการสอบสวน ด้วยส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสืบหาความเชื่อมโยงระหว่างการเสียชีวิตครั้งแรกและบ่อน้ำ ซึ่งเป็นที่อาศัยของค้างคาวพาหะโรค และน้ำจากบ่อที่ผู้เสียชีวิตเหล่านั้นใช้
“โรคสมองอักเสบนิปาห์ไม่ใช่การระบาดครั้งใหญ่ และในเวลานี้เป็นแค่การระบาดระดับท้องถิ่น” รัฐบาลกล่าวผ่านแถลงการณ์ และชี้ว่าในเวลานี้ทีมผู้เชี่ยวชาญยังคงเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้พบว่าตัวอย่างเลือดที่ได้มาจากคนไข้ชายจำนวน 2 คนที่แสดงอาการป่วยคล้ายเป็นหวัดนั้น ได้ถูกส่งไปเพื่อตรวจสอบ เจ้าหน้าที่รัฐเตลังคานาแถลง ซึ่งรัฐแห่งนี้อยู่ทางใต้และเป็นรัฐเพื่อนบ้านของรัฐเกรละที่เป็นศูนย์กลางการระบาดโรค
ด้านเค. ชานการ์( K Shankar)ผู้อำนวยการสถาบันโรคระบาดและเขตร้อน เซอร์ โรนัลด์ รอซ(the Sir Ronald Ross Institute of Tropical and Communicable Diseases) ในเมืองไฮเดอราบัดกล่าวว่า “ทางเราส่งตัวอย่างออกไปเพื่อเป็นมาตรการป้องกัน”
รอยเตอร์ชี้ว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีเคสผู้ป่วย 2 รายอยู่ในรัฐกรณาฏกะ ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้านติดกับรัฐเกรละเช่นกัน ซึ่งมีผลออกมาเป็นลบ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐกรณาฏกะกล่าว
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมในรายละเอียด ผู้ป่วยทั้งสองเป็นหญิงในวัย 20 ปี และชายวัย 75 ปีจากเมืองท่ามังกาลอร์(Mangalore) แสดงอาการติดเชื้อให้เห็น หลังจากคนทั้งคู่เดินทางไปยังรัฐเกรละ และได้ติดต่อกับกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสนิปาห์ที่นั่น นายแพทย์ ราเจช บีวี(Dr. Rajesh BV) เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังประจำเขตในรัฐกรณาฏกะ กล่าวแสดงความเห็น
รอยเตอร์ชี้ว่า ทั้งนี้พบว่าในเคสผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ได้รับเชื้อด้วยการติดต่อกับผู้ป่วยรายแรกทั้งสิ้นในขณะที่ผู้ป่วยชายรายนี้อยู่ในระหว่างการได้รับการรักษาพยาบาล นักจุลชีววิทยา จี. อรุน กุมาร์(G. Arun Kumar)กล่าว
รอยเตอร์ชี้ว่า ไวรัสถูกแพร่ระหว่างการสัมผัสของเหลวร่างกาย ซึ่งโรคไข้สมองอักเสบนิปาห์มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 70%
และองค์กรพันมิตรโลกเพื่อต่อสู้โรคระบาด(Global coalition to fight epidemics)ในสัปดาห์นี้ได้บรรลุข้อตกลงมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์กับบริษัทไบโอเทคสัญชาติสหรัฐฯ 2 แห่งคือ บริษัทโพรเฟคทัซ ไบโอไซน์เซส(Profectus BioSciences) และบริษัทอีเมอร์เจนต์ ไบโอโซลูชันส์( Emergent BioSolutions) ในการเร่งพัฒนาวัคซีนสู้กับโรคไวรัสสมองอักเสบสายพันธุ์หายากที่มีต้นพาหะมาจากค้างคาวผลไม้
รอยเตอร์รายงานว่า การเสียชีวิตรายแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พ.ค ที่เขตโคซิโคด(Kozhikode) รัฐเกรละ เค.เค. ชาอีลาจา(K.K. Shailaja)รัฐมนตรีสาธารณสุขประจำรัฐกล่าว
โดยในเวลานั้นมีจำนวนผู้ที่อยู่ในการเฝ้าจับตา 18 ราย แต่ทว่า 12 รายจากทั้งหมดถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัส และในเวลาต่อมา 10 ใน 12 เสียชีวิต
ซึ่งพบว่าผู้เสียชีวิต 3 รายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันถูกต้องสงสัยว่าติดเชื้อมาจากฝูงค้างคาวที่เกาะบ่อน้ำใกล้บ้านของพวกเขา ยู.วี. โฮเซ(U. V. Jose) เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นกล่าว
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(24)ว่า รัฐบาลรัฐเกรละออกแถลงวันพุธ(23)ว่า ครอบครัวของนางพยาบาลอินเดีย ลินี ปูธุสเซอรี(Lini Puthussery)วัย 31 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อกลุ่มผู้เสียชีวิต ที่ได้ทำการรักษากลุ่มผู้ป่วยโรคไข้สมองอักเสบนิปาห์ที่โรงพยาบาลเปรัมบรา ตาลัค( Perambra Taluk) ในเขตโคซิโคด จุดเริ่มแรกของการระบาด จะได้รับเงินเยียวยา
โดยมุขมนตรีรัฐเกรละ ปีนารายี วิจายาน( Pinarayi Vijayan) กล่าวผ่านแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์ว่า เงิน 1 ล้านดอลลาร์รูปี หรือราว 14,600 ดอลลาร์ จะมอบให้กับบุตรแต่ละคนของเธอในจำนวนทั้งหมด 2 คน ที่มีอายุ 7 ขวบ และ 2 ขวบ ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกฝากเข้าบัญชีธนาคารของเด็กทั้งสอง
ในขณะที่ซาจีซ( Sajeesh) สามีของเธอจะได้รับข้อเสนอตำแหน่งงานกับภาครัฐ
และนอกเหนือจากกรณีของนางพยาบาลที่เสียชีวิต ทางรัฐบาลรัฐเกรละประกาศว่า ทางรัฐจะมอบเงินเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากโรคไข้สมองอักเสบนิปาห์ครอบครัวละ 500,000 รูปี หรือราว 7,300 ดอลลาร์