เซ็กซ์แลกข้าว! องค์การนิรโทษฯ แฉทหารไนจีเรีย “ข่มขืน” ผู้หญิง-เด็กที่หนีตายจากกลุ่มติดอาวุธโบโกฮารัม

เอเอฟพี - องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International - AI) เรียกร้องวันนี้ (24 พ.ค.) ให้รัฐบาลไนจีเรียเร่งตรวจสอบเรื่องที่ทหารและกองกำลังพลเรือนบังคับขืนใจสตรีและเด็กหญิงที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนมาอาศัยอยู่ตามค่ายผู้อพยพเพื่อหนีการคุกคามจากกลุ่มติดอาวุธโบโกฮารัม

องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งนี้ได้รวบรวมคำให้การของพยานหลายคนซึ่งยืนยันถึงพฤติกรรมล่วงละเมิดของกองกำลังความมั่นคงไนจีเรีย และอ้างว่าทหารเหล่านี้ข่มขู่หญิงผู้รอดชีวิตให้ยอมมีเพศสัมพันธ์เพื่อแลกกับอาหาร

แม้จะมีเสียงร้องเรียนเรื่องความรุนแรงทางเพศอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลไนจีเรียก็เคยให้สัญญาว่าจะตรวจสอบ ทว่าจนบัดนี้ก็ยัง “ไม่มีมาตรการตอบสนองที่เป็นรูปธรรม” เอไอ ระบุ

เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2016 ตำรวจไนจีเรียรับปากจะสืบสวนเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศและฉวยโอกาสกับผู้อพยพในแคมป์ แต่เมื่อกองทัพออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดในอีกหลายเดือนถัดมา เรื่องราวก็เงียบไป

โอไซ โอจิโก ผู้อำนวยการเอไอประจำไนจีเรีย ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่ประธานาธิบดี มูฮัมมาดู บูฮารี “จะออกมาปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้พลัดถิ่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย อย่างที่เคยพูดเอาไว้บ่อยๆ”

“ทางเดียวที่จะยุติการล่วงละเมิดได้ก็คือ ต้องขจัดวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด (impunity) ให้หมดไปจากภูมิภาคนั้น และรับรองว่าจะไม่มีใครที่ข่มขืนหรือฆ่าผู้อื่นแล้วรอดเงื้อมมือกฎหมายไปได้”

หน่วยงานบรรเทาทุกข์เปิดเผยว่า ผู้หญิงและเด็กส่วนใหญ่ถูกแยกจากครอบครัว จึงเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศ และการข่มขืนก็เกิดขึ้นบ่อยทั้งในและนอกแคมป์

คลินิกวางแผนครอบครัวที่เข้าไปแจกจ่ายยาคุมกำเนิดตามแคมป์เหล่านี้พบว่า มีการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การทำแท้ง และการตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์ในอัตราที่สูงมาก

ผู้หญิงในแคมป์หลายคนบอกกับเจ้าหน้าที่เอไอว่า เคยถูกทหารและกองกำลังพลเรือนข่มขู่ให้เป็น “แฟน” ซึ่งก็หมายถึงการยอมมีเซ็กซ์ด้วย และสิ่งที่พวกเธอจะได้รับตอบแทนก็คือ “อาหาร”

สถิติล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. พบว่า ประชากรไนจีเรียราว 1.8 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศเพราะหนีการคุกคามจากกลุ่มโบโกฮารัม ซึ่งสังหารผู้คนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 ศพตั้งแต่ปี 2009

ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคเมอรูน ชาด และไนเจอร์ ก็มีประชาชนที่ละทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีความรุนแรงรวมกันเกือบ 2.25 ล้านคน ตามข้อมูลจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)