รอยเตอร์ - สำนักงานควบคุมความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐฯ (TSA) เรียกร้องให้ท่าอากาศยานต่างประเทศเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจเช็คอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้โดยสารพกติดตัวขึ้นเครื่องสำหรับเที่ยวบินขาเข้าสหรัฐฯ และนำมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบเดียวกับที่สหรัฐฯ กำหนดเมื่อปีที่แล้วไปบังคับใช้
ทีเอสเอ เริ่มตรวจเข้มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้โดยสารเครื่องบินในสหรัฐฯ ตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลเรื่องการซุกซ่อนระเบิด
เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2017 ทีเอสเอ เริ่มบังคับใช้กฎให้ผู้โดยสารเครื่องบินต้องนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์แทบเล็ต, อีรีดเดอร์ หรือวิดีโอเกม
ทีเอสเอ ได้ส่งบันทึกแจ้งไปยังสนามบินต่างประเทศให้นำมาตรการนี้ไปบังคับใช้ รวมถึงนโยบายที่ทีเอสเอประกาศเมื่อกลางปี 2017 ให้ผู้โดยสารนำอาหาร แป้ง หรือสิ่งของอื่นๆ “ที่อัดแน่นจนเครื่องเอ็กซ์เรย์ตรวจสอบได้ไม่ชัดเจน” ออกมาจากกระเป๋าที่พกขึ้นเครื่อง
“สหรัฐอเมริกาขอความร่วมมือจากรัฐบาลต่างประเทศในการตรวจสอบสัมภาระที่พกขึ้นเครื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยตามจุดตรวจหลักๆ ของท่าน” บันทึกของทีเอสเอ ระบุ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่า มาตรการคุมเข้มนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากภัยคุกคามใหม่ๆ
บันทึกฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขอความร่วมมือในการคัดกรองผู้โดยสารจากสนามบิน 280 แห่งใน 105 ประเทศ ซึ่งรวมๆ แล้วจะมีเที่ยวบิน 2,100 เที่ยวนำผู้โดยสารประมาณ 325,000 คนเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาในแต่ละวัน
แมทธิว เลียส โฆษกทีเอสเอ แถลงวานนี้ (3 พ.ค.) ว่า ทางหน่วยงาน “จะไม่เปิดเผยกรอบเวลาหรือระเบียบวิธี แต่จะประสานกับหุ้นส่วนนานาชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสนามบินต้นทางสุดท้ายมีมาตรการคัดกรองที่สอดคล้องกับเรา และนี่เป็นความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการบินทั่วโลก”
เดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว สหรัฐฯ ได้ยกเลิกกฎห้ามนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นเครื่องสำหรับเที่ยวบินที่เดินทางมาจาก 10 สนามบินใน 8 ประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ และในเดือนเดียวกันก็ได้สั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยรอบๆ เครื่องบิน อาคารผู้โดยสาร และพื้นอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถขอตรวจค้น รวมถึงนำเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิดมาใช้เพิ่มเติมด้วย