รอยเตอร์ - รัฐมนตรีข่าวกรองอิสราเอลชี้ คำมั่นสัญญาสร้างสันติภาพและปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือและประธานาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้นในการเจรจาแก้ไขข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์อิหร่าน
อิสเรล คัตซ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวกรองและกระทรวงคมนาคมของอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า หากคำสัญญาระหว่างผู้นำสองเกาหลีเกิดผลจริงในทางปฏิบัติ ก็อาจจะช่วยลดการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลางลงได้ด้วย
แผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action - JCPOA) ที่อิหร่านทำร่วมกับกลุ่มมหาอำนาจ P5+1 เมื่อปี 2015 และถูกคัดค้านอย่างหนักโดยอิสราเอล กำลังเสี่ยงที่จะพังครืนหาก ทรัมป์ ตัดสินใจรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้งภายในวันที่ 12 พ.ค. ที่จะถึงนี้
ทรัมป์ วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็น “ดีลที่แย่ที่สุด” และขู่จะงัดบทลงโทษกลับมาใช้ใหม่ หากอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ไม่สามารถแก้ไข “จุดบกพร่อง” ได้
ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับ 6 ชาติมหาอำนาจ ซึ่งได้แก่ สหรัฐฯ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส บวกเยอรมนี มีวัตถุประสงค์เพื่อบีบให้อิหร่านยอมลดทอนกิจกรรมนิวเคลียร์ลง โดยนานาชาติจะยอมผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและธุรกรรมการเงินให้เป็นสิ่งตอบแทน
“เขา (ทรัมป์) จะมีอำนาจต่อรองกับอิหร่านมากขึ้น และอาจโน้มน้าวสหภาพยุโรป (อียู) ให้หยุดทำตัวเป็นห่วงโซ่ที่อ่อนแอในกลุ่มพันธมิตร” คัตซ์ ระบุ “ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หากเกาหลีเหนือจะล้มเลิกกิจกรรมและศักยภาพด้านนิวเคลียร์ทั้งหมด มันย่อมจะดีต่อภูมิภาคของเราด้วย เนื่องจากมีความเชื่อมโยงถึงกัน”
คัตซ์ อ้างว่า เกาหลีเหนือกับอิหร่านมีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขีปนาวุธ “และเรามีหลักฐานยืนยันมากมาย”
รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ยังคงเชื่อว่าข้อตกลงฉบับนี้เป็นกลไกที่ดีที่สุดที่จะสกัดกั้นไม่ให้อิหร่านพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์
ระหว่างการเยือนอเมริกาแบบรัฐพิธีในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดี เอมมานูแอล มาครง แห่งฝรั่งเศสเตือน ทรัมป์ ว่าอย่าเพิ่งด่วนถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 และขอเวลาให้ฝรั่งเศสได้ปรึกษาหารือกับอังกฤษและเยอรมนีเพื่อเพิ่มเติมเงื่อนไขใหม่ๆ ให้รัดกุมยิ่งขึ้นตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง
ผู้นำสหรัฐฯ วิจารณ์ข้อตกลงนิวเคลียร์ซึ่งจัดทำขึ้นในยุคของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ว่าไม่สามารถยับยั้งการแผ่อิทธิพลในตะวันออกกลาง หรือโครงการขีปนาวุธของเตหะรานได้