เอเจนซีส์ - “ทรัมป์” หวังซัมมิตกับ “คิม จองอึน” ที่เมื่อก่อนเห็นกันว่าไม่น่าเกิดขึ้นได้ จะสามารถประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ยืนยันว่าถ้าเห็นท่าจะเสียเวลาเปล่าก็พร้อมออกจากห้องประชุมทันที อีกทั้งยังจะเดินหน้ากดดันหนักข้อเพื่อให้เกาหลีเหนือยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีโสมขาวแสดงความมั่นใจ ผู้นำสองเกาหลีซึ่งนัดหมายหารือกันก่อนตอนปลายเดือนนี้จะต้องสามารถยุติสภาวะคู่สงคราม เปลี่ยนข้อตกลงหยุดยิงที่ใช้มานานหลายสิบปี ให้กลายเป็นสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ
ความเป็นไปได้ที่จะมีการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำคิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังมีข่าวสุดช็อกว่า ไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้ดินทางไปเปียงยางอย่างเงียบกริบในช่วงปลายเดือนมีนาคมคาบเกี่ยวต้นเดือนเมษายน และได้พบปะหารือกับคิม ถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของสหรัฐฯ คนแรกที่ติดต่อโดยตรงกับเกาหลีเหนือในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ
ในวันพุธ (18 เม.ย.) ภายหลังพบหารือกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นที่รีสอร์ตส่วนตัวของเขาในรัฐฟลอริดาเป็นวันที่สอง ทรัมป์ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ปอมเปโอเดินทางไปเกาหลีเหนือจริงและภารกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พร้อมสำทับว่า ผู้อำนวยการซีไอเอเข้ากันได้และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประมุขโสมแดง
ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งในคณะบริหารทรัมป์เปิดเผยว่า ปอมเปโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาที่ทรัมป์ไว้ใจมากที่สุดและเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่นั้น ได้หยิบยกเรื่องนักโทษอเมริกัน 3 คนที่ยังคงติดคุกเกาหลีเหนือขึ้นหารือกับคิม และบอกกับผู้นำเปียงยางว่า วอชิงตันหวังว่า บุคคลเหล่านั้นจะได้รับการปล่อยตัว
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ยอมตอบคำถามสื่อว่า เรื่องดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการประชุมสุดยอดกับคิมหรือไม่
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกันผู้นำสหรัฐฯ ทวิตว่า เจ้าหน้าที่กำลังจัดการรายละเอียดในการประชุมสุดยอดระหว่างเขากับคิม ซึ่งรวมถึงการพิจารณาสถานที่ 5 แห่งที่อาจใช้จัดซัมมิตคราวนี้ โดยที่มีสื่อคาดเดากันว่า ได้แก่ ยุโรป จีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และหมู่บ้านปันมุนจอมในเขตปลอดทหารบนคาบสมุทรเกาหลี
ระหว่างการแถลงภายหลังหารือกับอาเบะในวันพุธ ทรัมป์แสดงความคาดหวังว่า ซัมมิตระหว่างเขากับผู้นำโสมแดงที่อาจเกิดขึ้นในปลายเดือนหน้าหรือเดือนมิถุนายนนั้นจะประสบความสำเร็จ แต่สำทับว่า ถ้าเห็นว่า การหารือไม่เอื้อประโยชน์ใดๆ เขาก็พร้อมเดินออกจากห้องประชุมทันที
นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่อเมริกาและเกาหลีเหนือมีโอกาสปรับความเข้าใจกันอย่างสันติ และแม้ผู้นำทั้งสองประเทศต่างขึ้นชื่อเรื่องความหุนหันพลันแล่น แต่ผู้สังเกตการณ์ยังพากันหวังว่า ซัมมิตครั้งนี้จะมีผลลัพธ์จับต้องได้มากกว่าเมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน และคิม จองอิล พ่อของผู้นำโสมแดงคนปัจจุบัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านนักการทูตของแต่ละฝ่าย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ปอมเปโอแถลงต่อวุฒิสภาที่เปิดอภิปรายเพื่อพิจารณาการเสนอชื่อเขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศว่า การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับคิมอาจบรรลุผลลัพธ์ทางการทูต แต่คงยังไม่ถึงขั้นข้อตกลงที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง
ผู้อำนวยการใหญ่ซีไอเอเสริมว่า เป้าหมายในการประชุมคือ ข้อตกลง เช่น ผู้นำเกาหลีเหนือรับปากว่า จะละทิ้งความพยายามในการโจมตีอเมริกาด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และเปียงยางไม่พึงคาดหวังว่าจะได้รางวัลจนกว่าจะทำลายโครงการอาวุธนิวเคลียร์กระทั่งไม่สามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้อีก
ทรัมป์ยังกล่าวว่า เกาหลีเหนือมีเส้นทางอนาคตที่สดใสรออยู่ ถ้าเพียงแต่ยอมละทิ้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น
ทั้งนี้ ในเกาหลีเหนือนั้น กองทัพถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกต่างไม่แน่ใจว่า คิมยินดียกเลิกโครงการอาวุธทั้งหมด
ขณะเดียวกัน เปียงยางมักพูดถึง “การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี” โดยมีนัยถึงการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ ออกจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่วอชิงตันแสดงท่าทีว่าไม่มีทางยอมเจรจาต่อรองด้วย
เมื่อวันพุธ ทรัมป์ยังคงยืนยันความคิดของตนกับอาเบะว่า เปียงยางต้องปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดและในวิธีที่ตรวจสอบได้และไม่สามารถรื้อฟื้นกลับมาได้อีก
ในอีกด้านหนึ่ง คิมมีกำหนดพบกับประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ นับจากทำข้อตกลงสงบศึกเมื่อ 65 ปีที่แล้ว
เจ้าหน้าที่อาวุโสในทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ผู้หนึ่งกล่าวเมื่อวันพุธว่า โซลต้องการประเมินความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนข้อตกลงสงบศึกที่กองบัญชาการสหประชาชาติที่อเมริกาเป็นแกนนำ ลงนามร่วมกับกองทัพจีนและเกาหลีเหนือหลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีปี 1950-1953 ให้กล่นเป็นข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสภาวะคู่สงครามอย่างเป็นทางการ
ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (19) มุนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ข้อตกลงสงบศึกต้องสิ้นสุดลง และเกาหลีเหนือ-ใต้ควรลงนามข้อตกลงสันติภาพ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายประกาศยุติภาวะสงครามระห่างกัน
มุนบอกด้วยว่า เกาหลีเหนือแสดงเจตนารมณ์ในการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ และโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ที่สหรัฐฯ จะยอมรับไม่ได้ เช่น แลกเปลี่ยนกับการถอนทหารอเมริกันออกจากเกาหลีใต้ ทั้งนี้สิ่งที่เกาหลีเหนือต้องการคือ การที่สหรัฐฯยุตินโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโสมแดงและการรับประกันความปลอดภัยของโสมแดง