‘ทรัมป์’ต้องการถอนทหารสหรัฐฯออกจาก‘ซีเรีย’ โดยให้‘กองกำลังอาหรับ’เข้าแทนที่

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Trump administration wants Arab force to replace US troops in Syria
By Asia Times staff
17/04/2018

คณะบริหารทรัมป์ยังคงต้องการถอนทหารสหรัฐฯออกจากซีเรีย โดยมีรายงานข่าวเปิดเผยว่าทำเนียบขาวกำลังพยายามจะให้กองกำลังของชาวอาหรับ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนบุคลากรทางทหารอเมริกัน ในการช่วยเหลือกลุ่มกบฎซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด ตรงบริเวณภาคเหนือของซีเรีย

แผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่จะถอนทหารอเมริกันออกจากซีเรีย กำลังเริ่มต้นเดินหน้าแล้ว นี่เป็นรายงานข่าวที่ปรากฏออกมาในคืนวันจันทร์ (16 เม.ย.) ถึงแม้เมื่อไม่นานมานี้มีสัญญาณหลายๆ ประการซึ่งบ่งชี้ว่าความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเขาในประเด็นนี้ได้อ่อนยวบลงไปก็ตาม

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ของฝรั่งเศส ป่าวประกาศทางสถานีโทรทัศน์ของฝรั่งเศสเมื่อวันอาทิตย์ (15 เม.ย.) ว่า เขาประสบความสำเร็จในความพยายามโน้มน้าวทรัมป์ให้เห็นดีเห็นงามกับการคงทหารอเมริกันเอาไว้ในซีเรียต่อไปเป็นช่วง “ระยะยาว” แต่ดูเหมือนประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้รับบันทึกช่วยจำฉบับนี้ของเขา หรือไม่เช่นนั้นทรัมป์ก็อาจจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถูกระบุว่าทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (The Wall Street Journal) เวลานี้ทำเนียบขาวกำลังหาทางที่จะรวบรวมกองกำลังของชาวอาหรับขึ้นมา เพื่อให้เข้าแทนที่บุคลากรทางทหารของสหรัฐฯ ในดินแดนผืนใหญ่ทางภาคเหนือของซีเรีย ซึ่งเวลานี้ตกอยู่ในกำมือของกองกำลังกบฏที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด โดยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากทรัพย์สินของอเมริกันทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯยังกำลังติดต่อกับซาอุดีอาระเบีย, กาตาร์, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพื่อขอให้ช่วยรับภาระจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการช่วยเหลือฟื้นฟูบริเวณภาคเหนือของซีเรียนี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.wsj.com/articles/u-s-seeks-arab-force-and-funding-for-syria-1523927888)

ปรากฏว่าแผนการนี้กำลังเผชิญกับอุปสรรคความยุ่งยากจำนวนหนึ่ง โดยปัญหาที่ชัดเจนที่สุดก็คือจะมีประเทศไหนยินดีจะส่งกองกำลังอาวุธภาคพื้นดินเข้ามา และสหรัฐฯสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะให้ความสนับสนุนทางอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการประคับประคองความพยายามเช่นนี้ให้ยืนยาวต่อไปได้

ชื่อประเทศที่อยู่บนสุดของบัญชีผู้ที่อาจเป็นหุ้นส่วนในความพยายามเช่นนี้ได้ คือ อียิปต์ โดยที่ จอห์น โบลตัน (John Bolton) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่ของทรัมป์ ได้โทรศัพท์ติดต่อหารือกับ อับบาส คาเมล (Abbas Kamel) รักษาการหัวหน้าใหญ่ด้านข่าวกรองของแดนไอยคุปต์ เพื่อสอบถามหยั่งท่าทีว่าไคโรยินดีที่จะส่งบุคลากรเข้าร่วมสมทบหรือไม่ ซาอุดีอาระเบียและยูเออีก็ถูกมองว่าอาจแสดงบทบาทในเรื่องนี้ได้เหมือนกัน ทว่าติดปัญหาที่ว่า 2 ประเทศนี้กำลังพัวพันยุ่งขิงกับการสู้รบขัดแย้งในเยเมนอยู่แล้ว

ชาร์ลส์ ลิสเตอร์ (Charles Lister) นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันตะวันออกกลาง (Middle East Institute) ให้ความเห็นกับวอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า อียิปต์คงลังเลที่จะเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีกองกำลังอาวุธชาวอาหรับใดๆ หรอกที่จะรู้สึกกระดี๊กระด๊ากับออปชั่นทำนองนี้ ถ้าหากสหรัฐฯไม่ได้คงกำลังทหารใดๆ ของตนเอาไว้ในดินแดนนั้นๆ ด้วย “ไม่มีทั้งแบบอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต หรือพื้นฐานอันหนักแน่นมั่นคงใดๆ สำหรับการตกแต่งเรื่องนี้ให้กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จขึ้นมา” เขาบอก