เอพี – สื่อของทางการซีเรีย ออกมาตีข่าวว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศเผชิญ “การรุกราน” ครั้งใหม่จากจรวดปริศนาที่ยิงใส่ฐานทัพในเมืองฮอมส์และชานกรุงดามัสกัสเมื่อตอนรุ่งเช้าวันอังคาร (17 เม.ย.) อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพซีเรียได้ออกมายอมรับในภายหลังว่า เป็นเพียงการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดของระบบป้องกันภัยทางอากาศ
ด้านเพนตากอนยืนยันกองทัพอเมริกันไม่มีภารกิจในบริเวณดังกล่าว ส่วนอิสราเอลที่ซุ่มโจมตีซีเรียเป็นระยะยังปิดปากเงียบ ขณะที่คณะผู้ตรวจสอบนานาชาติถูกซีเรียและรัสเซียหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เข้าถึงพื้นที่ซึ่งเชื่อว่า ถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองดูมา โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่สุดท้ายก็จะยอมให้เข้าไปตรวจในวันพุธ (18 เม.ย.) อย่างไรก็ตาม อเมริกานั้นกังวลว่า รัสเซียอาจจะชิงทำลายหลักฐานก่อน
ตอนแรกสื่อของรัฐบาลซีเรียรายงานว่า ขีปนาวุธ 6 ลูกพุ่งเป้าโจมตีฐานทัพอากาศเชย์รัตในเมืองฮอมส์ แต่ถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรียสกัดไว้ได้เป็นส่วนใหญ่
ฐานทัพอากาศแห่งนี้เคยถูกอเมริกาถล่มด้วยจรวดโทมาฮอว์กเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เพื่อตอบโต้ที่ซีเรียอาจใช้อาวุธโจมตีพื้นที่ทางเหนือของประเทศและทำให้ประชาชนเสียชีวิตราว 90 คน
สื่อซีเรียยังรายงานว่า มีการโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพอากาศดูไมร์ชานกรุงดามัสกัสด้วย
หลังจากนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง สื่อของซีเรียก็ออกมารายงานคำแถลงของกองทัพที่ระบุว่า เรื่องระบบป้องกันภัยทางอากาศยิงสกัดขีปนาวุธหลายลูกนั้น เป็นเพียงการแจ้งเตือนที่ผิดพลาด โดยที่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติมอีก
ที่วอชิงตัน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่า กองกำลังอเมริกันไม่ได้ปฏิบัติภารกิจในบริเวณดังกล่าว ขณะที่อิสราเอลงดแสดงความคิดเห็น
เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ทหารอิหร่าน 4 นายเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ฐานทัพอากาศที 4 ของซีเรียที่อยู่ในเมืองฮอมส์ ถูกโจมตีทางอากาศ โดยรัสเซียและอิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย เชื่อว่า เป็นฝีมืออิสราเอล ขณะที่ยิวไม่ยืนยันหรือปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ขณะเดียวกัน อาเหม็ด อูซุมซู ผู้อำนวยการใหญ่องค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ (16 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ซีเรียและรัสเซียอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย ขัดขวางไม่ให้คณะผู้ตรวจสอบของโอพีซีดับเบิลยูเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในสถานที่ที่สงสัยว่า ถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองดูมา ทางตะวันออกของดามัสกัส และจัดการให้ผู้ตรวจสอบทั้ง 22 คนสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แทน
ด้านพลเอกยูริ เยฟตูเชนโก จากศูนย์เพื่อการปรองดองของกองทัพรัสเซียในซีเรีย ประกาศว่า สารวัตรทหารของรัสเซียพร้อมดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้เชี่ยวชาญของโอพีซีดับเบิลยูระหว่างการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ขณะที่อิกอร์ คิริลลอฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันอาวุธเคมีของรัสเซียในกรุงเฮก ระบุว่า ทางซีเรียได้จัดเตรียมให้คณะตรวจสอบของโอพีซีดับเบิลยูเดินทางไปยังเมืองดูมาในวันพุธ (18 เม.ย.) แต่อเมริกานั้นกังวลว่า รัสเซียอาจจะชิงทำลายหลักฐานก่อน
ก่อนหน้านั้น เซอร์เก เรียฟคอฟ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย อ้างว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่สามารถเดินทางไปยังดูมาได้เนื่องจากต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก่อน และยืนยันว่า มอสโกไม่ได้ต้องการขัดขวางการทำงานของผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ ในทางกลับกัน การโจมตีทางอากาศของตะวันตกต่างหากที่ทำให้ขั้นตอนอนุมัติต้องล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ตาม สเตฟานี ดูจาร์ริก โฆษกยูเอ็นแถลงโต้ว่า ยูเอ็นให้การอนุญาตที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติภารกิจในดูมาแก่โอพีซีดับเบิลยูแล้ว
อเมริกาและฝรั่งเศสนั้นอ้างว่า มีหลักฐานว่า กองทัพซีเรียอยู่เบื้องหลังการใช้ก๊าซพิษโจมตีในเมืองดูมาเมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมาที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน อย่างไรก็ดี มหาอำนาจทั้งสองชาติไม่ได้เปิดเผยหลักฐานดังกล่าวต่อสาธารณชน แม้เมื่อหลังจากร่วมกับอังกฤษ โจมตีทางอากาศต่อสถานที่ที่เชื่อว่า เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตอาวุธเคมีของซีเรียเมื่อวันเสาร์ (14 เม.ย.) ก็ตาม
ซีเรียและรัสเซียปฏิเสธว่า ไม่มีการโจมตีด้วยอาวุธเคมี เจ้าหน้าที่มอสโกถึงขั้นกล่าวหาอังกฤษจัดฉากการโจมตีปลอม ขณะที่นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ กล่าวหาซีเรียและรัสเซียพยายามกลบเกลื่อนหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวของเอพีที่เดินทางไปยังเมืองดังกล่าวภายใต้การจัดการของรัฐบาลซีเรียเมื่อวันจันทร์ มีโอกาสพูดคุยกับผู้รอดชีวิตและผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนที่เล่าตรงกันว่า มีการโจมตีด้วยก๊าซคลอรีนที่มีกลิ่นฉุนรุนแรงและอบอวลไปทั่ว บางคนเล่าว่า เห็นลูกเมียตายในสภาพน้ำลายฟูมปาก
ผู้รอดชีวิตบางคนเชื่อว่า เป็นฝีมือกลุ่มกบฏ และไม่คิดว่า ถังก๊าซถูกโยนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เนื่องจากยังมีสภาพดีอยู่ ขณะที่ผู้สื่อข่าวเอพีตั้งข้อสังเกตว่า ระหว่างการสัมภาษณ์ มีทหารซีเรียอยู่ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่ใกล้จนสามารถได้ยินการสนทนาได้ นอกจากนั้นเมื่อคุยกับแพทย์คนหนึ่งกลับได้ความว่า เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินมาก่อนที่จะมีการโจมตี และมีเสียงคนตะโกนว่า “คลอรีน” ก่อนที่กลิ่นก๊าซดังกล่าวจะตลบอบอวลไปทั่ว