เอเจนซีส์ - “ปูติน”เตือนโลกวุ่นวายแน่ หากตะวันตกโจมตีซีเรียซ้ำ “อิหร่าน” ขานรับระบุการกระทำของสามมหาอำนาจทำลายโอกาสในการยุติสงครามกลางเมืองในซีเรียด้วยวิถีทางการเมือง พร้อมกันนี้สมาชิกรัฐสภาแดนหมีขาวยังท้าทายว่า มาตรการแซงก์ชันมอสโกเพิ่มเติมที่วอชิงตันเตรียมประกาศในวันจันทร์ (16 เม.ย.) จะสร้างความเสียหายต่ออเมริกาและยุโรปมากกว่า
วังเครมลินแถลงว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ย้ำระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีของอิหร่านเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (15) ว่า ถ้าตะวันตกยังคงโจมตีซีเรีย ซึ่งถือว่า ขัดต่อกฎบัตรของสหประชาชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคงหนีไม่พ้นสภาวะวุ่นวายอลหม่าน ผู้นำทั้งสองยังเห็นพ้องกันว่า การโจมตีซีเรียด้วยขีปนาวุธเมื่อคืนวันศุกร์ (13) ต่อเนื่องถึงเช้าวันเสาร์ (14) ของอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ทำลายโอกาสในการบรรลุข้อตกลงทางการเมืองเพื่อยุติสงครามกลางเมืองซีเรียที่ดำเนินมาถึง 7 ปี
ทั้งนี้ สามชาติตะวันตกดังกล่าวได้ยิงขีปนาวุธ 105 ลูกใส่บริเวณที่เพนตากอนอ้างว่า เป็นโรงงานผลิตอาวุธเคมี 3 แห่งในซีเรีย เพื่อตอบโต้การใช้ก๊าซพิษโจมตีเมืองดูมา ซึ่งขณะนั้นอยู่ในการควบคุมของฝ่ายกบฎซีเรีย เมื่อวันที่ 7 เม.ย. จนทำให้ประชาชนเสียชีวิตหลายสิบคน และตะวันตกเชื่อว่า เป็นฝีมือรัฐบาลซีเรีย ทว่า ดามัสกัสและรัสเซีย ผู้เป็นพันธมิตรสำคัญ ต่างยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว
การโจมตีล่าสุดถือเป็นปฏิบัติการแทรกแซงครั้งใหญ่ที่สุดของชาติตะวันตกต่อประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ซึ่งมีรัสเซียหนุนหลังอยู่
ภายหลังการโจมตี ทรัมป์ทวิตโอ้อวดว่า ปฏิบัติการดังกล่าวสำเร็จด้วยดี ทว่า พลโทเคนเนธ แมคเคนซี ผู้อำนวยการของคณะประธานเสนาธิการทหารร่วม กลับแถลงที่เพนตากอนยอมรับว่า โครงการอาวุธเคมีของซีเรียยังหลงเหลืออยู่บางส่วน จึงไม่อาจรับประกันได้ว่า ซีเรียจะไม่สามารถโจมตีด้วยอาวุธเคมีอีกในอนาคต
ขณะเดียวกัน ไซเอ็ด ฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนซึ่งเป็นพันธมิตรของอัสซาด เยาะเย้ยว่า การโจมตีของตะวันตกไม่บรรลุวัตถุประสงค์ใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการข่มขวัญกองทัพซีเรีย การช่วยเหลือกลุ่มกบฏซีเรีย หรือการตอบสนองผลประโยชน์ของอิสราเอล
นัสรุลเลาะห์เสริมว่า กองทัพอเมริกันรู้ดีว่า ถ้าไม่จำกัดการโจมตีเอาไว้จะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้อย่างรุนแรงจากดามัสกัสและพันธมิตร รวมทั้งทำให้ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ
ส่วนที่ปารีส ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งมีการเผยแพร่ทางสถานีทีวีและวิทยุท้องถิ่น ตลอดจนถึงเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ มีเดียอพาร์ตว่า สามารถโน้มน้าวให้ทรัมป์เปลี่ยนใจคงทหารในซีเรียระยะยาวและพุ่งเป้าที่โรงงานผลิตอาวุธเคมี จากก่อนหน้านี้ที่ผู้นำสหรัฐฯ บอกว่า ต้องการถอนกำลังออกจากประเทศดังกล่าว
ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวแถลงโต้ว่า ทรัมป์มีจุดยืนชัดเจนในการนำทหารอเมริกันกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และภารกิจของกองกำลังอเมริกันยังคงเดิมคือการกวาดล้างและป้องกันไม่ให้กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลับมาก่อการร้ายได้อีก
แซนเดอร์สยังเรียกร้องให้พันธมิตรและหุ้นส่วนในภูมิภาคเพิ่มความรับผิดชอบทั้งด้านการทหารและการเงินเพื่อปกปักษ์ตะวันออกกลาง
วันเดียวกัน นิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เฟซ เดอะ เนชัน” ของเครือข่ายทีวีซีบีเอสว่า อเมริกาจะประกาศมาตรการแซงก์ชันชุดใหม่ในวันจันทร์เพื่อลงโทษบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่อัสซาดนำไปใช้ในการผลิตและโจมตีด้วยอาวุธเคมี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เอฟเกนี เซเรเบรนนิคอฟ รองประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมของวุฒิสภารัสเซีย ประกาศว่า มอสโกพร้อมรับมาตรการลงโทษดังกล่าว ซึ่งแม้สร้างความยากลำบากให้รัสเซีย แต่อเมริกาและยุโรปจะเสียหายมากกว่า
ที่ดามัสกัส ไฟซาล เม็กแดด รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศซีเรีย ได้ประชุมกับคณะผู้ตรวจสอบจากองค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) ของยูเอ็น นาน 3 ชั่วโมงในวันจันทร์ โดยมีเจ้าหน้าที่รัสเซียและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอาวุโสของซีเรียร่วมหารือด้วย
คณะผู้ตรวจสอบดังกล่าวเตรียมเดินทางไปยังดูมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตะวันตกระบุว่า มีการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเมื่อต้นเดือนนี้ และรัสเซียประณามตะวันตกที่ไม่ยอมรอให้โอพีซีดับเบิลยูเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุก่อนที่จะทิ้งระเบิดโจมตี
ขณะเดียวกัน โอพีซีดับเบิลยูยังเปิดประชุมฉุกเฉินแบบปิดลับที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเฮกเมื่อวันจันทร์ ตามข้อเรียกร้องของประธานวาระปัจจุบันคือ ชีค โมฮัมเหม็ด เบลัล เอกอัครราชทูตบังกลาเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีในเมืองดูมาเมื่อต้นเดือน โดยรายงานระบุว่า เอกอัครราชทูตอังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศสร่วมหารือด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์ยังรายงานว่า เคนเนธ วอร์ด เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า รัสเซียอาจเข้าไปทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อบ่อนทำลายความพยายามในการค้นหาข้อเท็จจริงของคณะผู้ตรวจสอบของโอพีซีดับเบิลยู ขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตคนหนึ่งขานรับว่า อาจมีการทำลายหลักฐานขณะที่คณะผู้ตรวจสอบเจรจากับซีเรียเพื่อขอเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเฮกยืนยันว่า มอสโกจะรับประกันความปลอดภัยของคณะผู้ตรวจสอบและจะไม่แทรกแซงการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมประณามการโจมตีของสามชาติตะวันตกเมื่อวันเสาร์ว่า ต้องการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของภารกิจนี้