รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีรัสเซีย ปูติน ออกมาให้ความเห็นวันอาทิตย์ (15 เม.ย.) กับผู้นำอิหร่านทางโทรศัพท์ ถึงสถานการณ์ในซีเรียและความเปลี่ยนแปลงของโลกว่า หากว่าโลกตะวันตกทำการโจมตีซีเรียมากขึ้น จะทำให้โลกต้องเกิดความปั่นป่วน ท่ามกลางสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจกับรัสเซียรอบใหม่ ด้านผู้นำฝรั่งเศส ประธานาธิบดีมาครงแถลงวันเดียวกัน เป็นคนหว่านล้อมทรัมป์ด้วยตัวเอง ให้ใช้ทางเลือกทางการทหารจำกัดแค่เป้าหมายทางอาวุธเคมีของอัสซาดในการโจมตีวันเสาร์ (14) และสหรัฐฯ ควรประจำอยู่ในซีเรียในระยะยาว
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (15 เม.ย.) ว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำอิหร่าน ฮัสซัน โรฮานี และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน พบว่าผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องว่า การโจมตีของชาติตะวันตกได้ทำลายโอกาสที่จะเกิดผลลัพท์ทางการเมืองในการแก้ไขสงครามกลางเมืองซีเรีย 7 ปี อ้างอิงจากแถลงการณ์ของเครมลิน
“โดยเฉพาะ วลาดิมีร์ ปูติน ย้ำว่าหากว่าการกระทำนั้นขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติยังคงดำเนินต่อไป มันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่เกิดความโกลาหลทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” รายงานจากแถลงการณ์ของเครมลิน
CBS สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ภาพที่รายงานออกมาวันอาทิตย์ (15) 1 วันหลังถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกโจมตี ***พบผู้นำซีเรียยังคงมีความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัดผ่านการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ของซีเรียเมื่อวานนี้ (15) ระหว่างการหารือร่วมกันกับบรรดานักการเมืองรัสเซียที่ทำเนียบประธานาธิบดีซีเรียกรุงดามัสกัส
พบว่าประธานาธิบดีซีเรียระบุว่า เชื่อว่ามีความจำเป็นต้องการงบประมาณจำนวน 400 ล้านดอลลาร์เพื่อจะนำเศรษฐกิจซีเรียให้กลับฟื้นตัวได้อีกครั้ง รวมไปถึงผู้นำซีเรียได้ประณามปฏิบัติการโจมตีของกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตกว่า “เป็นความก้าวร้าวของพวกอเมริกัน”
ด้านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ นิกกี เฮลลีย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์สหรัฐฯ CBS ในรายการ เผชิญหน้าประเทศ (Face The Nation) วันอาทิตย์ (15 )ว่า ทางสหรัฐฯจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรอบใหม่วันจันทร์ (16) โดยที่มีเป้าหมายไปที่บรรดาบริษัทที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงด้านอุปกรณ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการที่ประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสซาดใช้อาวุธเคมีโจมตี
ซึ่งก่อนหน้าวันเสาร์ (14) 3 ชาติพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ และมีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้ร่วมขบวนการโจมตีสถานที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีของซีเรีย 3 แห่งซึ่งเชื่อว่าถูกใช้ในเหตุการณ์โจมตีเมืองโดมา เขตกูตาตะวันออก เมื่อวันที่ 7 เม.ย. อ้างอิงจากเพนตากอน โดยมีการใช้มิสไซล์ทั้งหมดในการโจมตีโดยประมาณ 105 ลูก
ด้านประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุแอล มาครง ออกแถลงการณ์วันอาทิตย์(15) อ้างว่า เขาเป็นคนหว่านล้อมผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้า ทรัมป์เคยออกมาระบุว่า ต้องการดึงทหารสหรัฐฯออกมาจากซีเรีย ให้ประจำกองกำลังสหรัฐฯอยู่ในซีเรียในระยะยาว
ทั้งนี้ ในรายงานของเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวยอมรับว่า นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ที่หว่านล้อมให้ผู้นำสหรัฐฯ จำกัดการโจมตีวันเสาร์ (14) แค่เฉพาะที่ตั้งเกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีของประธานาธิบดีอัสซาดเท่านั้น
สื่ออังกฤษชี้ว่า ผู้นำแดนน้ำหอมดูเหมือนชี้ว่า การจำกัดการโจมตีซีเรียนั้นไม่จำเป็นว่า ต้องเป็นแผนแรกที่ออกมาจากสหรัฐฯ
ในการให้สัมภาษณ์วันอาทิตย์ (15) มาครงกล่าวว่า “ทางเราได้หว่านล้อมอีกด้วยว่า ทางเราต้องการจำกัดการโจมตีไปที่สถานที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีเท่านั้น หลังจากที่มีการตอบโต้เล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากทางทวีตเตอร์”
และกล่าวต่อว่า “10 วันก่อนหน้า ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศว่า ต้องการนำกองกำลังสหรัฐฯออกมาจากซีเรีย ทางเราหว่านล้อมว่า มีความจำเป็นที่ต้องคงกองกำลังอยู่ในซีเรีย มีความจำเป็นที่ต้องคงกองกำลังอยู่ในซีเรียในระยะยาว”
เดอะการ์เดียนชี้ว่า ไม่ถือเป็นเรื่องที่ปกติที่ทางฝรั่งเศสจะออกมาประกาศว่า เป็นผู้ที่ผลักดันนโยบายทางการทหารแก่สหรัฐฯโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมาครงและทรัมป์ได้พัฒนาทางความสัมพันธ์ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เคยเชิญประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปเยือนฝรั่งเศสในวันชาติ และมีกำหนดจะเยือนสหรัฐฯ ในเดือนนี้
รอยเตอร์ชี้ว่า ชาติตะวันตกทั้ง 3 ได้ออกมาประกาศว่า การโจมตีวันเสาร์ (14) เพื่อลงโทษอัสซาดในการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย หรือเข้าแทรกแซงในสงคราม
ในขณะเดียวกันในวันอาทิตย์ (15) หัวหน้ากลุ่ม ฮิซบอลเลาะห์ ของเลบานอน กล่าวว่า การโจมตีซีเรียของโลกตะวันตกนั้นล้มเหลว ไม่สามารถประสบความสำเร็จต่อสิ่งใดได้ รวมไปถึงทำให้กองทัพกลัว ช่วยกลุ่มติดอาวุธ หรือกลุ่มผลประโยชน์ของอิหร่าน
ซาย์เยด ฮัสซัน นาสรัลลาห์ (Sayyed Hassan Nasrallah) กล่าวต่อว่า กองกำลังสหรัฐฯ จำกัดการโจมตี เป็นเพราะรู้ดีว่า หากเปิดการโจมตีในวงกว้างจะยั่วยุการตอบโต้ออกมาจากทางดามัสกัสและพันธมิตร และจะทำให้ภูมิภาคลุกเป็นไฟทันที
“พวกอเมริกัน (กองทัพ) รู้ดีว่า การที่ขยายวงกว้างในการเผชิญหน้า และปฏิบัติการใหญ่ต่อรัฐบาลและต่อกองทัพและต่อกองกำลังพันธมิตรในซีเรียไม่สามารถยุติการเผชิญหน้าใดๆ ซึ่งจะทำให้ทั้งภูมิภาคลุกเป็นไฟ”