เอเจนซีส์ – ซีเรียและรัสเซียกล่าวหาว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งในซีเรีย โดยใช้เครื่องบิน F-15 ยิงมิสไซล์หลายลูกขณะบินอยู่ในน่านฟ้าเลบานอน
ในตอนแรกมีการกล่าวหาว่าเป็นฝีมืออเมริกา ซึ่งทางวอชิงตันได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าส่งจรวดโจมตีฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งในซีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทรัมป์เตือนว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใช้ก๊าซพิษสังหารประชาชนในเขตยึดครองของกลุ่มกบฏจะต้อง “จ่ายราคาแพง” ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระบุมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน ซึ่งรวมถึงนักรบอิหร่าน
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงในวันจันทร์ (9 เม.ย.) ว่าขณะนี้อเมริกาไม่มีปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย แต่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนความพยายามทางการทูตเพื่อนำผู้ที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเมืองในซีเรียมาลงโทษ
ด้านโฆษกรัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาอิสราเอลเคยโจมตีที่ตั้งทางทหารของซีเรียหลายครั้ง รวมถึงขบวนรถและฐานที่มั่นของนักรบอิหร่านที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กองทัพของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย
สถานีทีวีของทางการซีเรียรายงานเมื่อวันจันทร์ว่า มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากการโจมตีฐานทัพอากาศที-4 ใกล้เมืองฮอมส์หลายระลอก ซึ่งสงสัยว่า เป็นการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอเมริกา
รายงานดังกล่าวอ้างอิงการเปิดเผยของแหล่งข่าวในกองทัพซีเรียที่ระบุว่า กองกำลังป้องกันทางอากาศสอยขีปนาวุธที่พยายามโจมตีฐานทัพที-4 ร่วง 8 ลูก
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมระบุว่า ฐานทัพอากาศแห่งนั้นมีกองกำลังรัสเซียขนาดใหญ่ประจำการอยู่ รวมถึงเครื่องบินรบที่ส่งไปโจมตีพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏ
ทางด้านซีเรียน ออบเซอวาทอรี ฟอร์ ฮิวแมน ไรต์ส ซึ่งเป็นกลุ่มติดตามสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียที่มีฐานอยู่ในลอนดอน ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีฐานทัพอากาศที-4 อย่างน้อย 14 คน ซึ่งรวมถึงนักรบอิหร่าน อย่างไรก็ดี กลุ่มนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นฝีมือของฝ่ายใด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 เม.ย.) ซีเรียน อเมริกัน เมดิคัล โซไซตี้ (แซมส์) ซึ่งเป็นองค์กรบรรเทาทุกข์ทางการแพทย์ของอเมริกา และหน่วยป้องกันฝ่ายพลเรือน ออกแถลงการณ์ว่า พลเมือง 49 คน ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองดูมา ซึ่งสงสัยว่า เป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย
เมืองดังกล่าวเป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างดุเดือดทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินของรัฐบาลซีเรีย เนื่องจากเป็นที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มกบฏในเขตตะวันออกของเมืองกูตา
ถัดมาอีกวัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ โจมตีประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียตรงๆ ชนิดที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักว่า ผู้นำรัสเซียและอิหร่านที่สนับสนุนอัสซาดจะต้อง “จ่ายราคาแพง” จากจากการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน
แต่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่มอสโก พันธมิตรทรงอิทธิพลที่สุดของอัสซาด โต้ว่า รายงานดังกล่าวเป็นข่าวปลอม
กระทรวงต่างประเทศรัสเซียยังเตือนว่า ไม่ควรใช้ข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นมาเป็นข้ออ้างสำหรับปฏิบัติการทางทหาร
รายงานระบุว่า ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส หารือทางโทรศัพท์กับทรัมป์ และทั้งสองผู้นำเห็นพ้องในการร่วมกันหาตัวผู้รับผิดชอบการโจมตีด้วยอาวุธเคมีซึ่งเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง
เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มาครงประกาศว่า ฝรั่งเศสจะโจมตีหากรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน
ทั้งนี้ แหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า การประเมินของวอชิงตันพบว่า อาวุธที่ใช้โจมตีเมืองดูมาเมื่อวันเสาร์คืออาวุธเคมี ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) สำทับว่า หลักฐานที่พบบ่งชี้ว่า กองทัพอัสซาดใช้อาวุธเคมีจริง
นักการทูตยุโรปผู้หนึ่งเผยว่า พันธมิตรตะวันตกกำลังจัดเตรียมรายงานเหตุการณ์นี้โดยอิงกับภาพถ่าย วิดีโอ และการเปิดเผยของผู้เห็นเหตุการณ์ รวมทั้งภาพถ่ายดาวเทียม
ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีกำหนดประชุมสองรอบในวันจันทร์ตามคำขอของรัสเซียและอเมริกา
ก่อนหน้านี้ คณะสอบสวนอาชญากรรมสงครามของยูเอ็นได้จัดทำรายงานการโจมตีด้วยอาวุธเคมี 33 ครั้งในซีเรีย โดยระบุว่า 27 ครั้งเป็นฝีมือรัฐบาลอัสซาด