เอเจนซีส์ – อิสราเอลยอมรับเป็นครั้งแรกว่า ทิ้งระเบิดถล่มเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต้องสงสัยในซีเรียเมื่อ 11 ปีที่แล้ว อ้างเหตุผลว่าเพื่อขจัดภัยคุกคามใหญ่หลวงทั้งต่อตนเองรวมถึงตะวันออกกลาง ขณะที่เห็นกันว่าการเปิดเผยปฏิบัติการลับในอดีตครั้งนี้ของรัฐยิว น่าจะมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้นานาชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจโลก จัดการขั้นเด็ดขาดกับอิหร่าน
เมื่อวันพุธ (20 มี.ค.) กองทัพอิสราเอลได้เผยแพร่วิดีโอ ภาพถ่าย และเอกสารข่าวกรองข้อมูลที่เพิ่งถูกยกเลิกชั้นความลับ ซึ่งเปิดเผยเหตุการณ์ที่เครื่องบินขับไล่ เอฟ-15 และเอฟ-16 รวม 8 ลำ ของตน ทิ้งระเบิดโจมตีที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ใกล้เมืองเดียร์ อัล-ซอร์ ทางตะวันออกของซีเรีย เมื่อคืนวันที่ 5 กันยายน 2007 และปฏิบัติการสิ้นสุดลงในช่วงเช้ามืดวันรุ่งขึ้น
ปฏิบัติการ “ออร์ชาร์ด” ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกองทัพอิสราเอลได้รับข่าวกรองว่า ซีเรียกำลังสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อผลิตพลูโตเนียม โดยได้รับการช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอลและตะวันออกกลาง โดยตามการประเมินในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดนั้น เครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวอาจสามารถเริ่มเดินเครื่องได้ในช่วงปลายปี 2017 เพื่อผลิตอาวุธนิวเคลียร์
ข้อมูลลับยังระบุว่า เครื่องปฏิกรณ์ถูกทำลายราบคาบและไม่อาจฟื้นคืนสภาพเดิมได้ และกองทัพอิสราเอลตัดสินใจเก็บปฏิบัติการนั้นไว้เป็นความลับเนื่องจากสถานการณ์ความมั่นคงที่มีความอ่อนไหว
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เกิดเหตุการณ์โจมตีคราวนั้น ซีเรียเป็นผู้ออกมาให้ข่าวเป็นรายแรก โดยบอกว่า ช่วงเช้ามืดวันที่ 6 กันยายน 2007 กองทัพอากาศซีเรียได้ขับไล่การรุกรานของเครื่องบินรบยิว
และไม่ถึงหนึ่งปีนับจากนั้น เจ้าหน้าที่อเมริกันได้กล่าวหาว่า ซีเรียพยายามสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อย่างลับๆ และยอมรับว่า อิสราเอลทำลายเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวแล้ว
ในปี 2011 หน่วยงานตรวจสอบด้านปรมาณูของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศว่า บริเวณดังกล่าวมีแนวโน้มสูงว่า เคยมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งซีเรียร่วมพัฒนากับเกาหลีเหนือ
ทว่า ซีเรีย ซึ่งเป็นภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที) ปี 1970 นั้น ปฏิเสธมาตลอดว่า บริเวณที่ถูกอิสราเอลโจมตีไม่มีเครื่องปฏิกรณ์ และตนเองไม่ได้ร่วมมือกับเกาหลีเหนือในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ในระหว่างการออกมายอมรับเรื่องนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ กองทัพอิสราเอลตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่โดยรอบเดียร์ อัล-ซาร์ตกเป็นของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) หลังจากสงครามกลางเมืองซีเรียอุบัติขึ้นในปี 2011 ซึ่งหากยังมีเครื่องปฏิกรณ์อยู่จะถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงเชิงยุทธศาสตร์ทั้งต่ออิสราเอล ซีเรีย และตะวันออกกลาง
กองทัพอิสราเอลสำทับว่า อาจมีอันตรายร้ายแรงพอกัน หากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตกอยู่ในมือประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ที่สังหารพลเมืองของตนเองด้วยอาวุธเคมี
การตัดสินใจออกมาเปิดเผยปฏิบัติการลับในอดีตครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล เฝ้าเรียกร้องมานานหลายเดือนให้อเมริกาและนานาชาติจัดการกับอิหร่าน พันธมิตรสำคัญของซีเรีย อย่างเด็ดขาดขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้มหาอำนาจแก้ไขหรือยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำกับเตหะราน
จุดยืนดังกล่าวสอดรับกับท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งพบกับผู้นำยิวในเดือนนี้ โดยประมุขทำเนียบขาวประกาศว่า จะต้องแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวภายในวันที่ 12 พฤษภาคม ไม่เช่นนั้นอเมริกาจะถอนตัวจากข้อตกลง
อิสราเอลยังกล่าวหาว่า อิหร่านพยายามสร้างโรงงานผลิตขีปนาวุธในซีเรียและเลบานอนที่อาจใช้โจมตีตน โดยเนทันยาฮูประกาศว่า อิสราเอลจะไม่ปล่อยให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เด็ดขาด