(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
China throws sinking Brunei a lifeline
By Nile Bowie
18/03/2018
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน กำลังทรงทอดพระเนตรไปที่ปักกิ่งด้วยความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ในประเทศของพระองค์ กำลังแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว
สิงคโปร์ - สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ (Sultan Hassanal Bolkiah) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน กำลังต้องทรงวิ่งแข่งกับเวลา เนื่องจากทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศซึ่งเคยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์กำลังเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกนักลงทุนต่างชาติจากที่อื่นๆ เตรียมการเพื่อถอนตัวออกไป จีนกลับกำลังมีบทบาทสำคัญในการให้ความหวังใหม่แก่ชีวิตทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบอิสลามแห่งนี้
ธนาคารใหญ่ระดับระหว่างประเทศ เป็นต้นว่า เอชเอสบีซี และ ซิตี้แบงก์ ต่างพากันยุติการดำเนินกิจการในบรูไนเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากมองเห็นว่าธุรกิจในด้านน้ำมันและก๊าซของพวกเขากำลังหดตัวลงเรื่อยๆ โดยมีแรงฉุดจากราคาพลังงานของโลกซึ่งลดลงต่ำเตี้ยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กลับมีสถาบันการเงินใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเดินหน้าเข้ามาเติมเต็มช่องว่างสุญญากาศที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ แบงก์ ออฟ ไชน่า (Bank of China หรือ BOC)
บีโอซีเข้ามาตั้งสาขาในบรูไนเมื่อปี 2016 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กิจการต่างๆ ของจีนที่นำเอาเม็ดเงินเข้ามาทำการลงทุนโดยตรง (foreign direct investment หรือ FDI) เป็นจำนวนมาก หยาง เจียน (Yang Jian) เอกอัครราชทูตของจีนประจำกรุงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน เมื่อปีที่แล้วได้พูดถึงรัฐสุลต่านแห่งนี้ว่า เป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญจุดหนึ่งในแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความริเริ่มด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบกข้ามทวีปและทางทะเล ที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ผู้สังกตการณ์บางรายเชื่อว่า จีนมีเจตนาความตั้งใจที่จะอาศัยการลงทุนอย่างมากมายของตนและความผูกพันทางการเมืองอันใกล้ชิดกับพระราชาธิบดีผู้ปกครองบรูไน เพื่อโน้มน้าวโอนเอนจุดยืนของประเทศนี้ในกรณีพิพาททางดินแดนในทะเลจีนใต้ ซึ่งรัฐสุลต่านแห่งนี้ก็เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งที่ประกาศอ้างสิทธิอธิปไตยในหลายๆ บริเวณซ้อนทับกับจีนและหลายชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาอธิบายว่า ถ้าหากปักกิ่งประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็จะเป็นการโยกคลอนขัดขวางไม่ให้พวกชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้อ้างกรรมสิทธิ์ทั้งหลาย สามารถบรรลุฉันทามติเป็นหนึ่งเดียวในประเด็นปัญหานี้
“จีนกำลังใช้แรงกดดันอย่างมหาศาลต่อบรูไน เพื่อให้อ่อนข้อยินยอมทำความตกลง “ร่วมกันพัฒนา” กับจีนในบริเวณซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone หรือ EEZ) ของบรูไน นี่เป็นสิทธิซึ่งต้องเป็นของบรูไนอย่างชัดเจนไม่ว่าพิจารณาจากมาตราไหนๆ ก็ตามทีในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UN Convention on the Law of the Sea หรือ UNCLOS)” นี่เป็นความเห็นของ บิลล์ เฮย์ตัน (Bill Hayton) นักวิจัยผู้ช่วยของโครงการเอเชีย-แปซิฟิก แห่ง ชัทแธมเฮาส์ (Chatham House) สถาบันคลังสมองชื่อดังด้านกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน
“บรูไนจะชื่มชอบยินดีมากที่จะได้การลงทุนจากญี่ปุ่น, รัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ, สหรัฐฯ, หรือยุโรป อย่างไรก็ดี ในขณะนี้มีเพียงพวกผู้ประกอบการจากประเทศจีนเท่านั้นซึ่งกำลังมองหาพิจารณาโอกาสการลงทุนต่างๆ ของที่นั่น” เขาบอกกับเอเชียไทมส์ โดยชี้ด้วยว่า จวบจนถึงตอนนี้ บรูไน “ยังคงยืนหยัดหนักแน่น” ในเรื่องการธำรงรักษาสิทธิต่างๆ ในทรัพยากรทางทะเลของตน
กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแถบนี้ ปักกิ่งได้มีสานสายสัมพันธ์ทางการทูตอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับรัฐบาลของชาติเหล่านี้เช่นกัน โดยทั้งเสนอโครงการลงทุนต่างๆ , แพกเกจความช่วยเหลือแบบใจกว้าง, และข้อตกลงทางการค้า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้บางครั้งบางคราวก็กระตุ้นให้เกิดกระแสคัดค้านตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านจีนขึ้นมาด้วยความวิตกห่วงใยเกี่ยวกับอธิปไตย สำหรับบรูไน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ความมั่งคั่งร่ำรวยจากน้ำมันของตนก็ยังคงทำให้ประเทศนี้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ถึงกับต้องพึ่งพาขึ้นต่อจีนในทางเศรษฐกิจ
แต่ถ้าหากไม่มีการสำรวจค้นพบแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ แล้ว แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะเหือดแห้งไปภายในเวลาไม่เกิน 20 ปี เมื่อคิดคำนวณจากอัตราการขุดค้นนำขึ้นมาใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ตามผลการวิจัยคาดการณ์ของหลายๆ สำนัก ถึงแม้บรูไนได้ให้การสนับสนุนการค้าเสรีของภูมิภาค และได้ส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่อยู่นอกภาคพลังงานมาระยะหนึ่งแล้ว แต่พวกผู้สังเกตการณ์เชื่อว่ารัฐเล็กๆ แห่งนี้ยังคงถือว่าขาดการเตรียมตัวสำหรับอุปสรรคต่างๆ ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
พระราชาธิบดีแห่งบรูไน ซึ่งทรงมีความห่วงใยมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ประเทศต้องพึ่งพาภาคพลังงานอย่างหนักหน่วงชนิดไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเศรษฐกิจเช่นนี้ เวลานี้ดูเหมือนจะทรงทอดพระเนตรเห็นการทูตแบบพร้อมควักสมุดเช็กสั่งจ่ายเงิน (checkbook diplomacy) ของปักกิ่ง ว่าเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจของบรูไนจำเป็นต้องอาศัยเพื่อจะได้เริ่มต้นก้าวกระโดดไปสู่การกระจายตัวสู่ภาคส่วนต่างๆ อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงกำลังทรงยินยอมเปิดทางให้รัฐสุลต่านแห่งนี้กลายเป็นที่มั่นระดับภูมิภาคแห่งหนึ่งสำหรับผลประโยชน์ทางธุรกิจของจีน ถ้าหากไม่ใช่ถึงกับเป็นผลประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ของแดนมังกร
ทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งเขต “ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กว่างซี” (Brunei-Guangxi Economic Corridor หรือ BGEC) ขึ้นในปี 2014 เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระดับทวิภาคี ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กว่างซี ตั้งเป้าหมายที่จะระดมเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในลักษณะของการร่วมลงทุน ซึ่งจะทำให้บรูไนมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงแห่งกว่างซี (กวางสี) อันเป็นเขตปกครองฐานะเทียบเท่ามณฑลของจีนที่มีอาณาเขตติดต่อโดยตรงกับทะเลจีนใต้
เท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ จีนมีฐานะเป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของบรูไน ด้วยยอดเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้นอยู่ในระดับราวๆ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โรงกลั่นน้ำมันและนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมูอารา เบซาร์ (Muara Besar refinery and petrochemical complex) ที่จีนหนุนหลังอยู่ ถือเป็นโครงการลงทุนจากต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบรูไน ย่อมจะยิ่งสร้างเสริมฐานะดังกล่าวให้มั่นคงแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ผู้ลงทุนฝ่ายจีนจะควักกระเป๋าสำหรับการก่อสร้างในระยะที่ 1 ของโครงการนี้เป็นมูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ระยะที่ 2 ประมาณการกันว่าจะต้องใช้เงินอีก 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัท เหิงอี้ อินดัสตรีส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Hengyi Industries International Pte Ltd) บริษัทจีนที่ดำเนินงานแบบกิจการเอกชนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน คือผู้ที่กำลังก่อสร้างโครงการมหึมาแห่งนี้ โดยคาดหมายกันว่ากิจการต่างๆ ในโครงการจะเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2019 ประมาณการกันว่าโรงกลั่นน้ำมันและนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ได้มากกว่า 10,000 ตำแหน่ง และเพิ่มศักยภาพด้านการกลั่นน้ำมันของบรูไนขึ้นมา 175,000 บาร์เร็วต่อวัน โดยที่จะผลิตทั้งเบนซิน, ดีเซล, และน้ำมันเครื่องบิน
ยังมีการร่วมลงทุนระหว่างบรูไนกับจีนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อีกโครงการหนึ่ง ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างกลุ่มท่าเรืออ่าวเป่ยปู้กว่างสี (Guangxi Beibu Gulf Port Group) ของจีน กับ ดารุซซาลาม แอสเสตส์ (Darussalam Assets Sdn Bhd) บริษัทเพื่อการลงทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลบรูไน กิจการร่วมทุนนี้เริ่มเข้าดำเนินการท่าเรือ มูอารา คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (Muara Container Terminal) ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดของบรูไนตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนั้น พวกบริษัทจีนยังได้ลงทุนในภาคสื่อสารโทรคมนาคมและภาคการเกษตรของรัฐสุลต่านแห่งนี้ด้วย
“รัฐบาลบรูไนตระหนักเป็นอย่างดีถึงความเสี่ยงต่างๆ ของการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดมากเกินไปกับจีน โดยที่พวกเขามีความร่วมมือประสานงานอย่างใกล้ชิดมากกับรัฐบาลสิงคโปร์เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้” นักวิจัยเฮย์ตันกล่าว พร้อมกับชี้ว่า “สหราชอาณาจักรก็มีการตกลงเป็นพิเศษในด้านกลาโหมกับบรูไน อีกทั้ง โรยัล ดัตช์ เชลล์ (Royal Dutch Shell) บริษัทพลังงานสัญชาติอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ ยังคงเป็นผู้มีฐานะครอบงำอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศนี้”
สหราชอาณาจักรนั้น ยังคงมีกำลังทหารอยู่ในบรูไนเรื่อยมานับตั้งแต่ที่ประเทศนี้เป็นเอกราชเมื่อปี 1984 ทั้งนี้ตามการขอร้องขององค์สุลต่าน ฐานทัพทางทหารในบรูไนซึ่งกลายเป็นฐานทัพแห่งสุดท้ายของลอนดอนที่ยังเหลืออยู่ในภูมิภาคแถบนี้ ได้รับการพิจารณาจากพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของสหราชอาณาจักรว่าเป็นที่มั่นอันสำคัญแห่งหนึ่ง ท่ามกลางภูมิหลังของการที่ข้อพิพาทต่างๆ ในทะเลจีนใต้ยังคงมีแนวโน้มคุกรุ่นยืดเยื้อ
สูลต่านแห่งบรูไนองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระราชาธิบดีที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกในเวลานี้ ยังทรงให้เงินทุนสนับสนุนโดยตรงแก่การปรากฏตัวทางทหารของสหราชอาณาจักร และให้ความไว้วางใจแก่หน่วยทหารกูรข่า (Gurkha) หน่วยหนึ่งซึ่งถูกปลดเกษียณจากกองทัพบกสหราชอาณาจักร ด้วยการที่ทรงรับมาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์ พระองค์ทรงปกครองประเทศโดยผ่านคณะรัฐมนตรีทำนองเดียวกับระบบของสหราชอาณาจักร และตรึงค่าสกุลเงินแห่งชาติของบรูไนเข้ากับเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ทั้งนี้รัฐสุลต่านแห่งนี้ไม่ได้มีหน่วยงานแบบธนาคารกลาง
ขณะทรงมีพระบรมราโชวาท ณ การประชุมประจำปีของรัฐสภาบรูไนเมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้ พระราชาธิบดีพระองค์นี้ทรงเรียกร้องให้กระจายเศรษฐกิจของประเทศออกไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ มากยิ่งขึ้นอีก เพื่อรับมือกับการที่ทรัพยากรของประเทศชาติกำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ “วาวาซาน 2035” (Wawasan 2035) หรือก็คือ “วิสัยทัศน์ปี 2035” มีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงินแห่งหนึ่งของภูมิภาคภายในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า
การเดินหน้าเปิดตลาดหลักทรัพย์บรูไนตามที่วางแผนกันเอาไว้นานแล้ว โดยกำหนดกันไว้ว่าจะเริ่มทำการซื้อขายได้ในไม่กี่ปีข้างหน้า จะเป็นการวางรากฐานสำหรับส่งเสริมสนับสนุนให้มีการลงทุนนอกภาคพลังงานกันมากขึ้น อีกทั้งเป็นการจัดให้มีแหล่งเงินทุนทางเลือกสำหรับพวกธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มตั้งเนื้อตั้งตัว เป็นที่คาดหมายกันว่าพวกกิจการสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัทพลังงานปลายน้ำ (downstream energy firms), และสถาบันการเงินต่างๆ จะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นแห่งนี้
สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ ปัจจุบันทรงมีพระชนมายุ 71 พรรษา พระองค์ทรงเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีกลาโหม, รัฐมนตรีคลัง, และรัฐมนตรีการต่างประเทศและการค้า ของประเทศ สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์นี้ทรงเฉลิมฉลองวโรกาสครบรอบ 50 ปีแห่งการขึ้นครองราชย์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วยพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นที่เคารพบูชาของเหล่าพสกนิกร แต่ก็ดูจะมองเห็นได้ว่าประชาชนของบรูไนนั้นมีความหงุดหงิดผิดหวังต่อภาวะเศรษฐกิจที่เงื่องหงอยซึมเซา, การทุจริตคอร์รัปชั่น, และการว่างงาน
จนกระทั่งถึงเวลานี้ รายรับจากน้ำมันและก๊าซยังคงถูกนำมาใช้จ่ายในแผนการอุดหนุนสงเคราะห์ด้านต่างๆ ตลอดจนนโยบายให้สวัสดิการอย่างใจกว้าง ซึ่งรวมถึงการศึกษาฟรีและการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับประชากรของบรูไนที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวชาติพันธุ์มาเลย์ ทว่าในขณะที่พลังงานสำรองและการเงินการคลังของประเทศกำลังยอบแยบลงไปเรื่อยๆ อีกไม่ช้าไม่นานนโยบายเหล่านี้คงจะต้องเปิดทางให้แก่มาตรการควบคุมการใช้จ่ายอย่างเข้มงวดเคร่งครัดยิ่งขึ้น
สำหรับในปี 2018 นี้ คาดหมายกันว่าเศรษฐกิจของบรูไนจะได้เห็นการฟื้นตัวขึ้นมาพอประมาณ ภายหลังที่ทรุดต่ำลงถึง 4 ปี โดยเหตุผลสำคัญก็เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่กำลังกระเตื้องสูงขึ้น รัฐสุลต่านแห่งนี้มีรายรับ 3,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่แล้ว ซึ่ง 75% ทีเดียวมาจากน้ำมันและก๊าซ แต่ก็ยังคงประสบภาวะขาดดุลงบประมาณอยู่ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงแม้จะดีขึ้นกว่าในปี 2016 ซึ่งยอดงบประมาณรายจ่ายสูงกว่ารายรับถึง 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI) เข้ามาเพิ่มมากขึ้นอีก ถือเป็นความปรารถนาของรัฐสุลต่านแห่งนี้ในปัจจุบัน โดยที่บรูไนเป็น 1 ในชาติผู้ร่วมลงนามใน ข้อตกลงการค้า ทีพีพี-11 (TPP-11 ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาคแปซิฟิกซึ่งอีก 11 ชาติที่เหลือยังคงพยายามเดินหน้าต่อไป ภายหลังสหรัฐฯในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัว -ผู้แปล) ซึ่งมีการตั้งชื่อใหม่ว่า ข้อตกลงครอบคลุมรอบด้านและก้าวหน้าสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาคแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP) พร้อมกันนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมการเจรจาเพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าภูมิภาคฉบับที่มีจีนเป็นหัวเรือใหญ่ และใช้ชื่อว่า ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจครอบคลุมรอบด้านระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP)
การที่จีนเข้ามาลงทุนในโครงการสำคัญต่างๆ เป็นชุดใหญ่เช่นนี้ ย่อมเท่ากับการลงคะแนนไว้วางใจที่มีความสำคัญมากสำหรับพระราชาธิบดีแห่งบรูไน จากการมีแหล่งน้ำมันและก๊าซสำรองลดน้อยลง และความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดทำให้เศรษฐกิจกระจายตัวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ทำให้รัฐสุลต่านแห่งนี้ตัดสินใจที่จะเข้าไปอยู่ในมุมของจีน ซึ่งทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นพันธมิตรสำคัญมีศักยภาพรายหนึ่งของปักกิ่ง ขณะเดียวกับที่บรูไนก็เดินหน้ามุ่งบรรลุวัตถุประสงค์ทางทะเลเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ ของตนเอง
“เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, และอินโดนีเซีย ถ้าหากไม่ได้เป็นชาติพันธมิตรที่ทำสนธิสัญญาร่วมป้องกันกับสหรัฐฯ ก็เป็นชาติที่ระแวงระวังจีน บรูไนจึงกลายเป็นสถานที่เดียวซึ่งปักกิ่งน่าจะประสบกับแรงต่อต้านน้อยที่สุดในเรื่องความมุ่งมาดปรารถนาทางด้านกองเรือรบน้ำลึกของตน” หม่อง ซาร์นี (Maung Zarni) อดีตรองศาสตราจารย์ด้านเอเชียศึกษา ของมหาวิทยาลัยบรูไน กล่าวให้ความเห็น
“เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์และทางยุทธศาสตร์ระยะหลังๆ มานี้ รัฐสุลต่านเล็กๆ แห่งนี้ที่ดูจะไม่มีความสำคัญอะไรในฐานะที่เป็นตลาดผู้บริโภค ขณะที่ศักยภาพทางด้านทรัพยากรก็มีอยู่ในระดับจำกัด กลับกำลังมีความสำคัญขึ้นมาแล้วสำหรับพวกนักวางแผนและนักยุทธศาสตร์ของจีน” เขาบอก
ไนล์ โบวี เป็นนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันที่ทำงานกับเอเชียไทมส์ โดยคอยติดตามเหตุการณ์ปัจจุบันในสิงคโปร์และมาเลเซีย สามารถติดต่อเขาได้ที่nilebowie@gmail.com.