รอยเตอร์/เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - เครื่องบินโดยสารของสายการบินบังกลาเทศตกในวันจันทร์ (12 มีค.) ภายหลังหักเลี้ยวกลางอากาศอย่างไม่คาดหมายในสภาพอากาศที่มีเมฆมาก ขณะกำลังร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานในเมืองหลวงกาฐมาณฑุ ของเนปาล ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 50 คน
เจ้าหน้าที่บอกว่า มีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 71 คนบนเครื่องบินโดยสารของสายการบิน ยูเอส-บังกลา แอร์ไลนส์ ลำนี้ ซึ่งบินออกมาจากกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ เมื่อตอนที่กระทบพื้นใกล้ๆ ด้านตะวันออกของรันเวย์ ชนปะทะเข้ากับแนวรั้วกั้น จนกระทั่งเกิดไฟไหม้ แล้วไถลเข้าไปในสนามฟุตบอลที่อยู่ใกล้ๆ
พวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องตัดซากเครื่องบินที่อยู่ในสภาพหงายท้องถูกไฟไหม้และหักพังยับเยิน เพื่อดึงเอาคนที่ติดอยู่ข้างในออกมา โดยที่มีบางคนถูกฝังอยู่ใต้ซากที่ตกกระจายไปไกล
เหตุร้ายคราวนี้ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับอากาศยานครั้งล่าสุดของเนปาลซึ่งภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูง และมีประวัติที่ย่ำแย่ในเรื่องความปลอดภัยทางการบิน โดยที่เครือข่ายการคมนาคมทางอากาศภายในประเทศต้องพึ่งพาอาศัยเครื่องบินขนาดเล็ก และบ่อยครั้งต้องขึ้นลงจากสนามบินที่มีห่างไกลและเงื่อนไขต่างๆ ไม่ค่อยเอื้ออำนวย
สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ยังค่อนข้างสับสน โกคุล ภันดารี โฆษกของกองทัพบกบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า พบศพผู้เสียชีวิตแล้ว 50 ศพ และถึงแม้สามารถช่วยคนหลายคนออกมาจากซากเครื่องบินโดยสารใช้เครื่องยนต์ใบพัดแบบ บอมบาเดียร์ แดช 8 คิว400 ลำนี้ได้หลายคนแล้ว ทว่ายังมีอีก 8 คนซึ่งยังหาไม่พบ
ขณะที่ มาโนช เนอูปาเน โฆษกของตำรวจเนปาล กล่าวกับเอเอฟพีว่า มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 49 คน ในจำนวนนี้ 40 คนตายในที่เกิดเหตุ อีก 9 คนตายในโรงพยาบาล 2 แห่งที่กาฐมาณฑุ นอกจากนั้นยังมีอีก 22 คนกำลังรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล บางคนมีอาการสาหัส
สำหรับผู้โดยสารบนเครื่อง ที่เป็นชาวเนปาลมี 33 คน มาจากบังกลาเทศ 32 คน แล้วยังมีคนจีน 1 คน และมาจากมัลดีฟส์ 1 คน
บาสันตา โบโฮรา หนึ่งในผู้รอดชีวิต เล่าให้หนังสือพิมพ์รายวันกาฐมาณฑุโพสต์ฟังว่า จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีเสียงดังกึกก้อง “ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ หน้าต่าง และสามารถที่จะทุบกระจกหนีออกมา”
ทางด้าน ราช กุมาร เชตตรี ผู้จัดการใหญ่ของท่าอากาศยานกาฐมาณฑุ ซึ่งตั้งอยู่บนเขา บอกว่า ไม่กี่อึดใจหลังจากเครื่องบินได้รับอนุญาตให้ร่อนลงจอดได้ นักบินได้พูดว่าเขาต้องการที่จะไปในเส้นทิศเหนือ ครั้นหอควบคุมการจราจรทางอากาศถามว่ามีปัญหาอะไรหรือ เขาก็ตอบว่าไม่มี
จากนั้นก็มองเห็นเครื่องบินกำลังบินวนอยู่ 2 รอบในเส้นทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เชตตรีแถลงต่อ เจ้าหน้าที่หอควบคุมจึงถามนักบินซ้ำว่าทุกอย่างเรียบร้อยไหม ซึ่งเขาก็ตอบว่าเรียบร้อย
แล้วหอควบคุมจึงบอกนักบินว่า การจัดตำแหน่งของเครื่องบินของเขานั้นไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ เชตตรีบอก
“เครื่องบินควรที่จะเข้ามาจากทิศทางที่ถูกต้อง” เชตตรีย้ำ พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า เมื่อร่อนลงเครื่องบินก็ปะทะกับแนวรั้วของสนามบิน โหม่งพื้นแล้วก็เกิดไฟลุกไหม้
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนในเฉพาะหน้านี้ว่า นักบินได้ส่งสัญญาณ “เมย์เดย์” ขอความช่วยเหลือฉุกเฉินหรือไม่
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ศพจำนวนมากซึ่งถูกนำมาวางเอาไว้บนพื้นสนามบินโดยมีผ้าคลุมไว้ อยู่ในสภาพถูกไฟไหม้ จากท่าอากาศยานกาฐมาณฑุสามารถมองเห็นกลุ่มควันดำหนาทึบจากเครื่องบินลำนี้
เครื่องบินบอมบาเดียร์ลำนี้อายุ 17 ปี ทั้งนี้ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Flightradar24.com เครื่องบินมาถึงท่าอากาศยานขณะอยู่บนความสูง 4,400 ฟุต จากนั้นก็ไต่ขึ้นไปที่ระดับ 6,600 ฟุต ก่อนที่จะตกลงโหม่งโลกในอีกราว 2 นาทีถัดมา เว็บไซต์เฝ้าติดตามการบินแห่งนี้ระบุ
ทางด้านบอมบาเดียร์โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์แสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียจากอุบัติเหตุคราวนี้ และบอกว่าจะแจ้งข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมต่อไป
ในอดีตที่ผ่านมา ได้เคยเกิดอุบัติเหตุทางการบินที่กาฐมาณฑุมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อเดือนมีนาคม 2014 นกฝูงหนึ่งได้บินปะทะกับเครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ขณะกำลังร่อนลงที่สนามบินแห่งนี้ เป็นเหตุให้กระจกบังลมแตกหัก
ในเดือนเดียวกัน ล้อหลังของแอร์บัส เอ320 ของสายการบินโลว์คอสต์ของอินเดียเจ้าหนึ่ง เกิดไฟไหม้ขณะกำลังร่อนลง
ย้อนไปในปี 1992ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 167 คนเสียชีวิตยกลำเมื่อเครื่องบินโดยสารของการบินไทยในเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ตกขณะพยายามร่อนลงจอดที่กาฐมาณฑุ
สำหรับสายการบิน ยูเอส-บังกลา แอร์ไลน์ เป็นธุรกิจหน่วยหนึ่งของกลุ่มยูเอส-บังกลา กรุ๊ป ที่เป็นบริษัทร่วมทุนสหรัฐฯ-บังกลาเทศ
นักบิน 2 คน และลูกเรือในห้องโดยสาร 2 คน เป็นชาวบังกลาเทศ คัมรุล อิสลาม โฆษกของสายการบินแถลงในกรุงธากา
