เอเจนซีส์ - อิตาลีเผชิญภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่อาจยืดเยื้อเป็นเดือนๆ ภายหลังผลการเลือกตั้งรัฐสภาในวันอาทิตย์ (4 มี.ค.) ออกมาชนิดที่ไม่มีพรรคหรือกลุ่มใดได้เสียงข้างมาก โดยแนวโน้มที่พอมองเห็นได้ชัดเจนคือบรรดาผู้ออกเสียงมองเมินพวกพรรคกระแสหลักที่ก่อตั้งมายาวนาน และหันไปเลือกประดากลุ่มประชานิยมต่อต้านระบบ ตลอดจนกลุ่มขวาจัดในจำนวนที่สูงเป็นประวัติการณ์
ขณะที่การนับคะแนนผ่านไปเกินกว่า 75% แล้วนั้น เกือบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ในบรรดา 3 กลุ่มการเมืองใหญ่ของอิตาลีไม่มีกลุ่มใดกวาดคะแนนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ตามลำพัง และยังมีความเป็นไปได้ต่ำมากๆ ที่พรรคการเมืองกระแสหลักจะได้กลับมาบริหารประเทศ
คาดหมายกันว่า แนวร่วมปีกขวาจะได้คะแนนเสียงราว 37% โดยในจำนวนนี้ กลุ่ม “ลีก” ที่เป็นพวกขวาจัดต่อต้านสหภาพยุโรป ได้ไปเกือบๆ 18% ขณะที่พรรคฟอร์ซา อิตาเลีย ของอดีตนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี ได้ประมาณ 14% เท่ากับว่า มัตเตโอ ซัลวินี ผู้นำกลุ่มลีก ที่ให้สัญญาจะจัดการเนรเทศผู้อพยพจำนวนหลายแสนคนและจัดการกับ “อันตราย” จากอิสลาม อาจได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแดนมักกะโรนี
ด้านพรรคแนวทางประชานิยมและต่อต้านสถาบันอย่าง ขบวนการ 5 ดาว (5-สตาร์ มูฟเมนต์) ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนซึ่งเบื่อหน่ายกับพรรคการเมืองหน้าเดิม การขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 คือ 31%
มาร์เซลโล ซอร์กี้ คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ ลา สแตมปา ชี้ว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 ได้ผลลัพธ์ที่ยุโรปหวาดกลัว ขณะที่อิตาลีเองก็คาดไม่ถึง นั่นคือชัยชนะของลัทธิประชานิยม ซึ่งแม้กระทั่งว่ากลุ่มการเมืองแนวนี้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็อาจขัดขวางระบอบอียูอยู่ดี
ชัยชนะของฝ่ายขวาจัดและพรรคประชานิยมในอิตาลีถูกนำไปเปรียบเทียบกับการลงประชามติให้อังกฤษถอนตัวจากอียู และการเข้าสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์
มารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคขวาจัด “เนชันแนล ฟรอนต์” ในฝรั่งเศส ทวิตว่า “อียูกำลังจะเจอค่ำคืนเลวร้าย
จากการที่ไม่มีฝ่ายใดกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดทำให้การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลอาจยืดเยื้อหลายสัปดาห์หรือกระทั่งหลายเดือน
ริกคาร์โด ฟรักคาโร สมาชิกอาวุโสของ 5-สตาร์ บอกว่า ไม่ว่าพรรคใดก็ไม่สามารถฟอร์มรัฐบาลได้โดยไม่มี 5-สตาร์ ซึ่งถือเป็นพรรคที่ได้คะแนนมากที่สุด
ส่วนพรรคเดโมเครติก ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและมีแนวทางกลาง-ซ้าย ได้คะแนนแค่เกือบๆ 19% และถือเป็นความพ่ายแพ้อย่างชัดเจน
หากไม่มีพรรคหรือแนวร่วมกลุ่มใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด อิตาลีจะมีสามทางให้เลือกคือ ข้อตกลง “ต่อต้านระบบ” หรือการจับมือระหว่าง 5-สตาร์กับลีก ซึ่งเป็นทางเลือกที่นักลงทุนต่างชาติและบรัสเซลส์หวาดผวา โดยจากการคาดการณ์นั้น แนวร่วมนี้จะมีที่นั่งในสภาล่าง 355 ที่นั่ง จาก 630 ที่นั่ง และ 168 ที่นั่งในสภาสูง จาก 315 ที่นั่ง
ทางเลือกที่สองคือ 5-สตาร์ฟอร์มรัฐบาลตามลำพัง ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะเป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง และทางเลือกสุดท้ายคือ การตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาดูแลจัดการจัดเลือกตั้งกันใหม่
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ เลสเพรสโซ ชี้ว่า ผู้ชนะเมื่อคืนวันที่ 4 คือ ลุยจิ ดิ มาโย ผู้นำ 5-สตาร์ และซัลวินี ผู้นำพรรคลีก ส่วนผู้แพ้ยับเยินมีสองคนเช่นกันคือ แบร์ลุสโกนี และมัตเตโอ เรนซี ผู้นำเดโมเครติก
แบร์ลุสโกนี อดีตนายกรัฐมนตรี 3 สมัย ซึ่งเวลานี้ยังไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองได้ เนื่องจากยังมีความผิดติดตัวในคดีโกงภาษี แต่เขาก็ประกาศวางตัวแอนโตนิโอ ทาจานี ประธานรัฐสภายุโรป เป็นนายกฯ นอมินี
สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาวที่เคยช่วยให้ทรัมป์ขี่กระแสประชานิยมจนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฟันธงว่า การเลือกตั้งของอิตาลีเป็น “ลัทธิประชานิยมล้วนๆ” โดยบรรยายว่า คนอิตาลีไปไกลกว่าและเร็วกว่าคนอังกฤษที่สนับสนุนเบร็กซิต และคนอเมริกันที่สนับสนุนทรัมป์
ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการคาดว่าจะออกมาในช่วงคืนวันจันทร์ (5) และรัฐสภาจะเปิดประชุมครั้งแรกในวันที่ 23 มีนาคม อย่างไรก็ดี ไม่มีแนวโน้มว่า ประธานาธิบดีแซร์จิโอ มัตตาเรลลา จะสามารถเริ่มต้นการหารืออย่างเป็นทางการเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้จนกว่าจะถึงต้นเดือนเมษายน
คลอดิโอ ติโต คอลัมนิสต์ของลา รีพับบลิกา ทิ้งท้ายว่า คำพิพากษาในอิตาลีเหมือนเดิมคือ ประเทศที่ไร้เสถียรภาพเสมอมา และมีอาการเรื้อรังคือการไม่สามารถปกครองได้