เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ผลการเลือกตั้งเอ็กซิตโพลและการคาดการณ์ชี้ล่าสุดว่า อิตาลีกำลังนำไปสู่ “รัฐสภาแขวน” ไม่มีใครได้เสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จ หลังผู้มีสิทธิ์อิตาลีกว่า 50 % เข้าคูหากาเบอร์ให้กับพรรคประชานิยมทั้งการเมืองปีกขวาที่มีอดีตนายกฯ ซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี เป็นผู้นำ ต่อต้านผู้อพยพเข้าอิตาลี ชิงชัยกับพรรคอียู เดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ ของผู้นำหน้าละอ่อนวัย 31 ลุอิจี ดี ไมโอ(Luigi Di Maio)วัย 31 ปี ขวัญใจรากหญ้า และการประกาศสู้ว่างงาน
เดอะไฟแนนเชียลไทม์สรายงานวันนี้(5 มี.ค) รายงานว่า ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งชาวอิตาลีลงคะแนนกว่า 50% เลือกพรรคการเมืองประชานิยมทั้งการเมืองปีกขว ที่ได้ประกาศจุดยืนการต่อต้านผู้อพยพหลังจากอิตาลีกลายเป็นแหล่งรับผู้อพยพของยุโรปทั้งทวีป และพรรคการเมืองดาวรุ่งสุดฮอตในปี 2017 เดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์(The 5 Star Movemnt) สู้กับการเมืองแบบเก่าและอำนาจจากบรัสเซลส์ แม้แต่ ไนเจล ฟาราจ นักการเมืองอังกฤษ เบื้องหลังความสำเร็จ BREXIT ยังต้องให้การสนับสนุน ประกาศต้องการแก้ปัญหาระดับชาติ การว่างงานของพลเมืองอิตาลี และการคอร์รัปชัน
สื่อธุรกิจชี้ว่า ถึงแม้ว่า ผลคะแนนยังคงถูกนับ แต่การคาดการณ์จากการประเมินทางสถิติที่ใช้ผลคะแนนล่าสุดที่ออกมาบวกกับผลเอ็กซิตโพลเป็นข้อมูลชี้ไปในทิศทางว่า ***แดนมักกะโรนีแห่งนี้กำลังเข้าสู่ “ยุคสภาแขวน” ***ที่ไม่มีฝ่ายใดจากการเมือง 3 ปีกได้ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จ
กลุ่มการเมือง 3 ค่ายได้แก่ การเมืองปีกขวาภายใต้การนำของแบร์ลุสโกนี กลุ่มการเมืองประชานิยม ต้านเแอสเทบลิชเมนต์ ภายใต้พรรคเดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ ซึ่งเป็นพวกไม่สนับสนุนสหภาพยุโรป และพรรคเดโมแครตอิตาลี PD ของรัฐบาลอิตาลีชุดรักษาการ เป็นผู้ได้เสียงข้างมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และต้องเผชิญกับระยะเวลาที่นานในการต่อรองทางการเมืองที่มีประธานาธิบดีอิตาลี เซอร์จิโอ มัตตาเรลลา เป็นผู้ควบคุมเพื่อการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
เดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ พบว่าเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ได้เสียงจากผู้มีสิทธิ์มากที่สุดที่ 32% แต่ทว่าทางพรรคอาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เดอะไฟว์แนนเชียลไทม์สชี้ เว้นแต่ทางพรรคจะสามารถหาเสียงสนับสนุนจากพรรคอื่นได้ ซึ่งทางพรรคประกาศจุดยืนของการเป็นพรรคใหญ่ในการเมืองอิตาลีรอบนี้
อัลฟอนโซ โบนาเฟด(Alfonso Bonafede) สมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์กล่าวว่า “หากตัวเลขเหล่านี้ถูกยืนยัน จะถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่หาได้ยาก ทางเดอะไฟว์สตาร์จะขึ้นเป็นเสาหลักของรัฐสภาในสมัยที่จะถึงนี้”
และนอกจากนี้พบว่า มุ้งการเมืองปีกขวาซึ่งมีอดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลีผู้อื้อฉาว ซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี พร้อมสัญลักษณ์รอยยิ้มพิมพ์ใจของเขา พบว่าได้ไป 36% อ้างอิงจากการคาดาการณ์ช่วงแรกที่ออกมา แต่กระนั้นสื่อธุรกิจชี้ว่า ยังห่างไกลจากการได้เสียงส่วนใหญ่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้พบว่าในการเลือกตั้งอิตาลีรอบนี้ มีหลายสิ่งที่ต้องทำให้แปลกใจ เป็นต้นว่า การกลับเข้าสู่หน้าการเมืองอีกครั้งของแบร์ลุสโกนี ผู้ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีหลบเลี่ยงภาษี และเขายังถูกห้ามการลงสมัครทางการเมืองจนกระทั่งมกราคม 2019 การผงาดขึ้นมาของพรรคเดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอิตาลีใต้ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ กับหัวหน้าพรรควัยแค่ 31 ปีที่ภายในแค่ 5 ปีจากอดีตคนว่างงาน และต้องออกจากการเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน แต่ทว่า ลุอิจิ ดี ไมโอ(Luigi Di Maio)วัย 31 ปี ยังสามารถมาถึงจุดที่กำลังจะได้เป็นผู้นำอิตาลีคนใหม่ได้สำเร็จหากหาเพื่อนร่วมสนับสนุนได้
อ้างอิงจากสื่อบลูมเบิร์ก พบว่า ชื่อของพรรคมาจากหลักการ 5 ประการที่ทางพรรคเดอะไฟว์สตาร์มูฟเมนต์ให้ความสำคัญ ได้แก่ (1) ทางน้ำสาธารณะ (2) การคมนาคมแบบยั่งยืน (3) การพัฒนาอย่างยั่งยืน (4) สิทธิ์การเข้าถึงอินเตอร์เนต (5) สิ่งแวดล้อม ซึ่งพบว่าทางพรรคโจมตีปัญหาคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในพรรคเมืองใหญ่อิตาลี และยังออกมาประณามการจ่ายเงินเดือนระดับสูงให้กับพวกนักการธนาคาร และการลดภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็ก
ซึ่งทางดี ไมโอได้เคยวิจารณ์กฎการทำงบประมาณของอียู เขาต้องการให้มีความคล่องตัวมากขึ้นในการนำเงินสาธารณะมาใช้ในการลงทุน และต้องการให้มีการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนสาธารณะตามแบบอย่างที่เกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งในรายงานของดิเอ็กซเพรส สื่ออังกฤษเมื่อวันศุกร์(2) พบว่า จุดยืนของพรรคที่ต่อต้านอียู แต่กลับพบว่าบนเวทีหาเสียง ทางพรรคใช้โทนเสียงอ่อนลงในการวิจารณ์สหภาพยุโรป ซึ่งชัยชนะของทางพรรคในการเลือกตั้งอาจทำให้ทางบรัสเซลส์ช็อกและเกิดควาตรึงเครียดขึ้นได้
และการคาดไม่ถึงรอบนี้ยังรวมไปถึง พรรคการเมืองขวาจัดอิตาลี เดอะ นอร์ทเทิร์น ลีก ซึ่งหนึ่งในผู้สมัครของพรรคในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นได้ตกเป็นผู้ต้องหาใช้ปืนกราดยิงผู้อพยพมาแล้ว เที่ยวนี้ทางพรรคได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอิตาลีต่อตัวผู้นำพรรค มัตเตโอ มัตเตโอ ซาลวินี(Matteo Salvini) วัย 44 ปี ได้ไป 17% สามารถเอาชนะพรรคฟอร์ซา อิตาเลีย(Forza Italia) ของแบร์ลุสโกนี และกลายเป็นพรรคหลักของกลุ่มการเมืองปีกขวาอิตาลีได้สำเร็จเที่ยวนี้
เดอะการ์เดียนรายงานว่า มีรายงานถึงข้อตกลงลับ “สัญญาระหว่างสุภาพบุรุษ” ระหว่างซาลวินีและแบร์ลุสโกนีได้ตกลงกันว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะได้คะแนนมากกว่าภายในมุ้ง ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้กำหนดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งในนาทีนี้พบว่า ซาลวินีจะเป็นผู้เลือกไม่ใช่แบร์ลุสโกนี
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา แบร์ลุสโกนีเคยประกาศว่า หากกลุ่มกลางขวาของเขาชนะ ประธานรัฐสภายุโรปจะเป็นบุคคลใที่เขาเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลีคนถัดไป และทำการจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งในวันจันทร์(5) ซาลวินี หัวหน้าพรรคนอร์ทเทิร์น ลีก ที่เคยถูกแบร์ลุสโกนีซับเหงื่อให้กลางเวทีมาแล้ว ได้ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า “คำแรกของผมที่กล่าวออกมาคือ ขอขอบคุณ”
ในขณะเดียวกันพรรคกลางซ้าย พรรครัฐบาลอิตาลีในชุดรักษาการปัจจุบัน นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ต้องรับความน่าอับอายในรอบนี้ ได้คะแนนไปเพียง 19% เท่านั้น ซึ่งผลคะแนนที่ได้ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้เรนซีลาออก
ไฟแนนเชียลไทม์สชี้ว่า มีความน่าจะเป็นว่า อิตาลีกำลังเข้าสู่ความไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลต่อสหภาพยุโรป ซึ่งในเวลานี้บรัสเซลส์ต้องการทำตามแนวทางผลักดันของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุแอล มาครง และชุดรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีเยอรมัน อังเกลา แมร์เคิล ในการรวมตัว
ที่ผ่านมาอิตาลีถือเป็นชาติหลักในการก่อตั้งสหภาพยุโรป และประชาชนต่างสนับสนุนการร่วมเป็นอียูอย่างแข็งขัน แต่กระแสต้านอียูแพร่กระจายลามไปทั่วในไม่กี่ปีมานี้เนื่องมาจากความไม่พอใจในการทำงบประมาณของอียู การทำนโยบาย และการจัดการแก้ปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง
ซึ่งกว่า 50% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์วันอาทิตย์(4) พบว่า เลือกพรรคการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์สหภาพยุโรปอย่างหนัก
นอกจากฟาราจที่เป็นผู้วิจารณ์อียู และผลักดันให้อังกฤษออกมาจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป พบว่า มารีน เลอ แปน หัวหน้าพรรคการเมืองขวาจัดฝรั่งเศส เนชันแนล ฟรอนต์ และอดีตชิงประธานาธืบดีฝรั่งเศสปีที่ผ่านมา ออกมาแสดงความยินดีการเมืองอิตาลีทางทวิตดเตอร์ โดยเธอประกาศว่า “ถือเป็นอีกหนึ่งคืนที่สหภาพยุโรปต้องนอนฝันร้าย”
สื่อรัสเซีย RT ชี้ว่า ผลการเลือกตั้งทั้งหมดคาดว่า จะออกมาในช่วงค่ำวันนี้(5) สำหรับสภาล่างจำนวน 630 ที่นั่ง และสภาสูงอีก 320 ที่นั่ง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พบว่ามีชาวอิตาลีออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งแค่ 73% ถือว่าน้อยที่สุดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2