เอเอฟพี/รอยเตอร์ – จีนไม่ได้ต้องการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่ถ้าผลประโยชน์ของตนได้รับความเสียหาย จีนก็จะไม่นั่งอยู่เฉยๆ นักการทูตอาวุโสผู้หนึ่งของแดนมังกรกล่าวในวันอาทิตย์ (4 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการขึ้นภาษีศุลกากรจากเหล็กกล้าและอลูมิเนียมนำเข้า
ทรัมป์ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (1 มี.ค.) ขึ้นภาษีศุลกากร 25% จากเหล็กกล้านำเข้า และ 10% จากอลูมิเนียมต่างประเทศ และต่อมาในวันศุกร์ (2) ทรัมป์ยังคงเดินหน้าใช้น้ำเสียงอันท้าทายต่อไป ด้วยการพูดว่า สงครามการค้าเป็นสิ่งทีดี และสามารถที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ความเคลื่อนไหวคราวนี้ได้จุดชนวนให้ชาติอื่นๆ ข่มขู่ที่จะตอบโต้กลับอย่างโกลาหล อย่างไรก็ดี จนถึงตอนนี้พวกคู่ค้ารายสำคัญๆ ของวอชิงตันยังใช้ท่าทีหลีกเลี่ยงไม่ได้มีการออกมาบอกอย่างชัดเจนว่าจะตอบโต้อย่างไรบ้าง ขณะที่เน้นย้ำเรื่องการเจรจากัน
จาง เย่อสุ่ย รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีนก็พูดทำนองเดียวกัน ขณะแถลงข่าวในวันอาทิตย์ (4) เกี่ยวกับการประชุมประจำปีของรัฐสภาจีนซึ่งมีกำหนดเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยเขาบอกว่า การเจรจาหารือกันและการเปิดตลาดให้แก่กันและกัน คือหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า
“จีนไม่ได้ต้องการสู้รบในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่แน่นอนที่สุดว่าเราก็จะไม่นั่งนิ่งและเฝ้ามองเฉยๆ ขณะที่ผลประโยชน์ต่างๆ ของจีนถูกทำลายเสียหาย” จาง ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกให้แก่รัฐสภา และเคยเป็นอดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าว
“ถ้าหากนโยบายต่างๆ ถูกจัดทำขึ้นมาบนพื้นฐานของการวินิจฉัยที่ผิดพลาดหรือบนสมมุติฐานที่ผิดพลาดแล้ว มันก็จะสร้างความเสียหายให้แก่ความสัมพันธ์ทวิภาคี และก่อให้เกิดผลต่อเนื่องต่างๆ ซึ่งไม่ว่าประเทศใดก็ไม่ต้องการที่จะเห็น” เขาบอก
ในอีกด้านหนึ่ง เอเอฟพีรายงานว่า รัฐมนตรีต่างประเทศหวัง อี้ ของจีน ก็ได้แสดงความคิดเห็นในวันเสาร์ (3) ว่า “การกระทำของอเมริกันในเรื่องที่จะทำการแซงก์ชั่นการส่งออกเหล็กกล้าและอลูมิเนียมอย่างสมเหตุสมผลของประเทศอื่นๆ โดยใช้ข้ออ้างว่าเพราะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาตินั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลเลย”
การประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ เกิดขึ้นในขณะที่ หลิว เหอ ผู้ช่วยระดับท็อปทางด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พบปะพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ทำเนียบขาว เพื่อหารือถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงอุดมไปด้วยปัญหา
ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน ระหว่างการเยือนสหรัฐฯของหลิวคราวนี้ เขากับฝ่ายเจ้าภาพ “มีความเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งสองประเทศควรที่จะแก้ไขข้อพิพาททางการค้าของพวกเขาด้วยการร่วมมือกันแทนที่จะเผชิญหน้ากัน”
จีนส่งเหล็กกล้าและอลูมิเนียมเข้าสหรัฐฯไม่มาก
จีนนั้นตกเป็นเป้าหมายหลักของความโกรธเกรี้ยวของทรัมป์ในเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯเรื่อยมา นับตั้งแต่ช่วงที่เขารณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำ ทว่าสำหรับเหล็กกล้าและอลูมิเนียมแล้ว จีนส่งออกเข้าสู่สหรัฐฯน้อยนิดเดียว
ขณะที่จีนมีฐานะเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของโลก แต่สหรัฐฯนำเข้าสินค้าชนิดนี้ของแดนมังกรคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของการนำเข้าเหล็กกล้าทั้งหมดของสหรัฐฯ สำหรับอลูมิเนียม จีนจำหน่ายไปต่างประเทศเพียงแค่ 10% ของที่ผลิตได้
ผู้ผลิตเหล็กกล้าในแคนาดา, บราซิล, เม็กซิโก, เกาหลีใต้, และตุรกี ต่างหาก ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยตลาดสหรัฐฯอย่างหนัก
มีชาติพันธมิตรของสหรัฐฯบางราย เป็นต้นว่าแคนาดาและออสเตรเลีย ตั้งความหวังเอาไว้ว่าสินค้าประเภทเหล่านี้ของตนจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม ขณะที่สหพันธ์อุตสาหกรรมเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ใหญ่ในวงการธุรกิจของเกาหลีใต้ แถลงวันอาทิตย์ (4) ว่าได้ส่งจดหมายไปถึงพวกสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เพื่อขอให้หาทางช่วยเกาหลีใต้ให้ได้รับยกเว้น
ทางด้านออสเตรเลียกล่าวเตือนด้วยว่า ความขัดแย้งทางการค้าอาจกลายเป็นเบรกที่ชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
“นี่คือสิ่งที่ผมเป็นห่วงอยู่ ถ้าเรายังคงเห็นโวหารถ้อยคำยกระดับรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ และในที่สุดแล้วก็มีการกระทำด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าและสินค้าส่งออกตลอดทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจหลายๆ รายแล้ว ... นี่ก็จะนำไปสู่การชะลอตัวของอัตราเติบโต” สตีฟ ซีโอโบ รัฐมนตรีพาณิชย์แดนจิงโจ้กล่าวทางทีวีสกายนิวส์ออสเตรเลีย ในวันอาทิตย์ (4)