เอเอฟพี - รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแปรรูปสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station - ISS) ให้กลายเป็นกิจการเชิงพาณิชย์ซึ่งบริหารงานโดยเอกชน และยุติการจ่ายงบประมาณอุดหนุนภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้ (11 ก.พ.)
รายงานของวอชิงตันโพสต์ระบุว่า ทำเนียบขาวมีแผนที่จะแปรรูปสถานีอวกาศนานาชาติซึ่งเป็นโครงการพัฒนาร่วมระหว่างองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) กับหน่วยงานด้านอวกาศของรัสเซีย
สถานีอวกาศแห่งนี้ยังเปิดโอกาสให้ลูกเรือนานาชาติจากแคนาดา ยุโรป และญี่ปุ่นขึ้นไปทำการศึกษาวิจัยด้านต่างๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่อยู่ในวงโคจรระดับต่ำของโลก
“การที่รัฐบาลตัดสินใจหยุดจ่ายงบสนับสนุนไอเอสเอสภายในปี 2025 ไม่ได้หมายความว่าสถานีอวกาศแห่งนี้จะต้องหยุดโคจรรอบโลกในทันที... มีความเป็นไปได้ที่ภาคอุตสาหกรรมอาจจะยังใช้ศักยภาพบางอย่างของไอเอสเอสเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต” เอกสารของนาซาซึ่งวอชิงตันโพสต์ได้รับมา ระบุ
“นาซาจะขยายความร่วมมือทั้งระดับนานาชาติและเชิงพาณิชย์ในช่วง 7 ปีข้างหน้า เพื่อให้มนุษยชาติยังสามารถเข้าถึงและเดินทางออกไปยังวงโคจรระดับต่ำรอบโลกได้ต่อไป”
รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมเสนอร่างงบประมาณซึ่งกำหนดวงเงินสนับสนุนไอเอสเอส 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2019 และมากขึ้นในปีต่อๆ ไป “เพื่อพัฒนาศักยภาพในเชิงพาณิชย์ให้เติบโตเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาดูแลไอเอสเอสสามารถดำเนินงานได้เมื่อมีความจำเป็น"
วอชิงตันโพสต์ระบุด้วยว่า ทำเนียบขาวจะขอให้ภาคเอกชนเสนอบทวิเคราะห์ด้านการตลาดและแผนพัฒนาต่างๆ เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น
สหรัฐฯ ใช้งบประมาณไปกับการบริหาร ซ่อมบำรุง และส่งยานอวกาศไปยังไอเอเอสแล้วราวๆ 100,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าแผนแปรรูปอาจเผชิญกระแสคัดค้านอยู่พอสมควร
นับตั้งแต่รัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู บุช (2001-2009) เป็นต้นมา นาซาได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทเอกชนอย่างสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) และ ออร์บิทัล เอทีเค (Orbital ATK) ให้ส่งยานบรรทุกเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ และได้ปฏิบัติเช่นนี้บ่อยขึ้นในรัฐบาล บารัค โอบามา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่าบริษัทเอกชนจะทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหนจากการเข้าเทคโอเวอร์สถานีอวกาศเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งชิ้นส่วนแรกถูกส่งขึ้นไปยังห้วงอวกาศเมื่อปี 1998
ด้านนาซายังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานชิ้นนี้