รอยเตอร์ - วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติรับรองข้อตกลงงบประมาณและร่างงบประมาณชั่วคราวซึ่งจะช่วยเบิกจ่ายงบอุดหนุนหน่วยงานรัฐบาลกลางต่อไปอีกระยะหนึ่งวันนี้ (9 ก.พ.) แต่ยังคงช้ากว่ากำหนดเส้นตาย ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับวิกฤต “ชัตดาวน์” อีกครั้งหนึ่ง
ภาวะชัตดาวน์ซึ่งเริ่มขึ้นในทางเทคนิคตั้งแต่หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา นับเป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแทบไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแกนนำรีพับลิกันในการเจรจากับฝ่ายเดโมแครตเพื่อยุติปมขัดแย้งเรื่องงบประมาณที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน
สำนักงานบริหารงานบุคคลของสหรัฐฯ (US Office of Personal Management) ได้ออกประกาศเมื่อช่วงหลังเที่ยงคืน แนะนำให้พนักงานรัฐบาลกลางหลายล้านคนตรวจสอบกับหน่วยงานต้นสังกัดว่าจะต้องเข้าปฏิบัติงานตามปกติในวันนี้ (9) หรือไม่
มติรับรองจากวุฒิสภาจะทำให้ข้อตกลงงบประมาณและแพ็กเกจเบิกจ่ายงบชั่วคราวถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส.ส.ทั้งสองพรรคก็ยังคงเสียงแตก และไม่แน่ว่าจะลงมติรับรองโดยปราศจากการแก้ไขได้หรือไม่
เมื่อวานนี้ (8) แกนนำ ส.ส.รีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรออกมายืนยันว่า ข้อตกลงงบประมาณและร่างงบชั่วคราวจะผ่านการอนุมัติอย่างแน่นอน และแม้พวกผู้นำ ส.ว. จะยืนยันเช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ก่อน 24.00 น. ของวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่งบดำเนินงานของรัฐบาลกลางจะหมดลง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้วุฒิสภาผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวไม่ทันเวลาก็เนื่องจากว่า ส.ว. แรนด์ พอล สังกัดรีพับลิกัน ได้ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานถึง 9 ชั่วโมง เพื่อคัดค้านข้อตกลงงบประมาณที่จะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เหตุไม่คาดฝันดังกล่าวทำให้กระบวนการอภิปรายของวุฒิสภายืดเยื้อเลยกำหนดเส้นตาย และชี้ให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของทั้งสภาคองเกรสและรัฐบาลทรัมป์ในการจัดการปัญหาขั้นพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็คือการดูแลหน่วยงานของรัฐให้สามารถทำงานได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ภาวะชัตดาวน์ครั้งนี้อาจกินเวลาไม่นาน หากสภาผู้แทนราษฎรสามารถลงมติรับรองร่างงบประมาณชั่วคราวได้ก่อนรุ่งสางของวันนี้ (9) ซึ่งจะทำให้หน่วยงานของรัฐเปิดทำการได้ตามปกติโดยไม่สะดุด แต่หากเจรจาไม่สำเร็จ การปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งที่ 2 ของปี 2018 ก็จะมีผลจริงในทางปฏิบัติ
พอล ได้ระบุในการอภิปรายแบบมาราธอนของเขาว่า ข้อตกลงเพิ่มงบเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 2 ปีนั้นไม่ต่างอะไรกับการ “ปล้นคลัง” ของรัฐ
ข้อตกลงดังกล่าวเสนอให้มีการเพิ่มงบอุดหนุนกองทัพและโครงการภายในประเทศอีกเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า โดยไม่มีมาตรการตัดทอนรายจ่ายหรือเก็บภาษีเพิ่มเติมเข้ามาชดเชย