xs
xsm
sm
md
lg

ทำเนียบขาวแก้เกี้ยวหุ้นดิ่งนรก อ้าง “ทรัมป์” เน้นภาพรวม-ยัน ศก.แจ๋ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แผงอิเล็กทรอนิกส์แสดงดัชนีราคาหุ้นในกรุงโตเกียว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าหลังจากดัชนีหุ้นตลาดวอลล์สตรีท (ขวา) ติดลบ 1,175.21 จุดในวันจันทร์ (5 ก.พ.) แล้ว ก็พลอยฉุดให้ดัชนีหุ้นของตลาดโตเกียว (ซ้าย) ดำดิ่งไปด้วย  ทั้งนี้เมื่อถึงตอนปิดตลาดวันอังคาร (6) ดัชนีหุ้นนิกเกอิของตลาดโตเกียวติดลบ 1,071.84 จุด
รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - จากการที่ “วอลล์สตรีท” ดิ่งเหวกว่าพันจุดในวันจันทร์ (5 ก.พ.) วันเดียว ต่อเนื่องจากที่ตกกว่า 600 จุดเมื่อวันศุกร์ (2) “ทำเนียบขาว” ออกมาแก้ต่าง ระบุ “ทรัมป์” โฟกัสพื้นฐานเศรษฐกิจที่ขณะนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ขณะที่ตัวประมุขทำเนียบขาวเองก็งดแสดงความคิดเห็นเรื่องตลาดหลักทรัพย์ดื้อๆ หลังจากช่วงหุ้นทะยานขึ้นก่อนหน้านี้มักออกมาอวดอ้างเป็นความดีความชอบของตัวเอง

ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันจันทร์ (5) ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตเข้มแข็ง อัตราว่างงานต่ำเป็นประวัติการณ์ และค่าแรงคนงานอเมริกันเพิ่มขึ้น พร้อมสำทับว่า มาตรการลดภาษีและปฏิรูปกฎข้อบังคับของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้ชาวอเมริกันสมบูรณ์พูนสุขยิ่งขึ้น

ราช ชาห์ โฆษกทำเนียบขาวอีกคน กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีที่มุ่งหน้าสู่มลรัฐโอไฮโอว่า ตลาดหุ้นแค่ผันผวนในระยะสั้น พร้อมยืนยันว่า พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งมาก

ทั้งนี้ พวกนักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่วอลล์สตรีทเริ่มเทกระจาดตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากความกังวลของพวกนักลงทุนที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งเติบโตรุดหน้า อัตราการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อต่างขยับขึ้น รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เป็นตัวบ่งชี้อัตราดอกเบี้ยระยะยาว ก็ไต่สูงขึ้น จึงทำให้มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้บ่อยครั้งกว่าที่คาดกันไว้

อย่างไรก็ดี สำหรับตัวทรัมป์เองนั้น คราวนี้กลับไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้น ถึงแม้ขณะที่เขาปราศรัยอยู่ที่โอไฮโอ โดยคุยโอ่เรื่องเศรษฐกิจและมาตรการลดภาษีอยู่นั้น ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของวอลล์สตรีทรูดไม่คิดชีวิตและปิดตลาดด้วยการตกลงกว่า 1,000 จุด
แผงอิเล็กทรอนิกส์แสดงดัชนีราคาหุ้นในนิวยอร์ก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าหลังจากดัชนีหุ้นตลาดวอลล์สตรีท (ขวา) ติดลบ 1,175.21 จุดในวันจันทร์ (5 ก.พ.)
ท่าทีเช่นนี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาที่ทรัมป์คุยจ้อเรื่องตลาดหุ้นบ่อยมาก โดยอ้างความดีความชอบจากการที่วอลล์สตรีทวิ่งฉิวระหว่างปีที่แล้วจนถึงช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกของปีนี้

ล่าสุดคือระหว่างการแถลงนโยบายประจำปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประมุขทำเนียบขาวกล่าวว่า ตลาดหุ้นพุ่งทำสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาสั้นๆ

ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันที่ 4 มกราคม ทรัมป์ทวิตว่า ดาวโจนส์เพิ่งทะลุ 25,000 และบอกว่า รัฐบาลจะเดินหน้ายกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นต่อไป

13 วันต่อมา เขาอวดว่า ถ้าฮิลลารี คลินตัน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อสองปีก่อน ตลาดหุ้นคงตกลง 50% “แต่ดูตอนนี้สิ ราคาหุ้นกำลังทะยานทำลายสถิติ”

ทั้งนี้ นับจากวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 ที่ทรัมป์เป็นผู้ชนะ จนถึงสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้นเฉลี่ยถึง 42% อยู่ที่เหนือ 26,400

แต่มาในวันจันทร์(3) ดาวโจนส์หล่นทะลุระดับ 24,000 ถึงแม้ยังฟื้นขึ้นในช่วงกลางวันจนปิดที่ 24,345 กระนั้นเมื่อนับรวมการซื้อขาย 5 วันล่าสุด ปรากฏว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นนับจากปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเป็นอันหายวับหมดสิ้น

ว่ากันที่จริงแล้ว วอลล์สตรีทขยับขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้าทรัมป์เข้ามานั่งทำเนียบขาว โดยราคาหุ้นไต่ขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009 ที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา รับสืบทอดวิกฤตการเงินร้ายแรงและภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับจากวิกฤตครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 มาจากคณะบริหารของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งพรรครีพับลิกัน ซึ่งตอนนั้นดาวโจนส์อยู่ที่ราว 6,500
นักลงทุนเฝ้ามองจอมอนิเตอร์กระดานดัชนีหุ้น ณ ธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯในวันอังคาร(6ก.พ.) ขณะที่ตลาดหุ้นของไทยปิดลบตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงกว่า 1,175.21 จุด เมื่อคืนวันจันทร์(5ก.พ.)
ทรัมป์ยังเคยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องโอบามาส่งผลกระทบกระเทือนทางลบต่อตลาด โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 ทรัมป์ทวิตว่า “ตลาดหุ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐฯกำลังดำดิ่งในวันนี้ ขอต้อนรับสมัยที่ 2 ของบารัค โอบามา”

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของทรัมป์ล่าสุด เป็นสัญญาณว่าเขาอาจเพิ่งซึมซับคำเตือนจากอดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาวหลายคนที่บอกตรงกันว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ควรหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มที่แปรปรวนของวอลล์สตรีทโดยตรง

เจย์ คาร์นีย์ อดีตเลขานุการด้านสื่อของโอบามาทวิตเมื่อวันจันทร์ว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะรื้อฟื้นความหลังว่า คณะบริหารชุดที่แล้วไม่เคยโอ้อวดเรื่องตลาดหุ้นเลย แม้ดาวโจนส์ทะยานขึ้นกว่าสองเท่าตัวในสมัยโอบามา เนื่องจากรับรู้ข้อเท็จจริงสองอย่างคือ ตลาดหุ้นไม่ใช่เศรษฐกิจ และถ้าคุณอวดอ้างผลงานเมื่อราคาหุ้นขึ้น คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยเมื่อหุ้นดิ่ง

จีน สเปอร์ลิง ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต 2 คนคือ บิลล์ คลินตัน และโอบามา บอกว่า ทรัมป์ทำพลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาด้วยการให้ความสนใจอย่างมากกับตลาดหุ้น

สเปอร์ลิงยกตัวอย่างว่า แม้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นถึงสามเท่าตัวภายในยุคคลินตัน แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า โฟกัสสำคัญควรเป็นเรื่องนโยบาย และการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนก็ควรเป็นเรื่องปากท้องทั่วไป เพราะการโฟกัสที่ตลาดหุ้นจะเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเศรษฐกิจที่แท้จริง

ทางด้าน ดั๊ก ฮอลซ์-เอกิน ประธานอเมริกัน แอ็กชั่น ฟอรัม และอดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจของจอห์น แมคเคน อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของรีพับลิกันปี 2008 ขานรับว่า ประธานาธิบดีไม่ควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดหุ้น ผู้ที่สมควรแถลงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญคือรัฐมนตรีคลังหรือหน่วยงานที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวเท่านั้น เพราะหากมีอะไรผิดพลาด ประธานาธิบดีจะได้ไม่ต้องด่างพร้อยไปด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น