เอเอฟพี - เจอโรม “เจย์” พาวเวลล์ อดีตนายธนาคารการลงทุน สาบานตนในวันจันทร์ (5 ก.พ.) เข้าดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนที่ 16 รับหน้าที่สำคัญในการกำกับดูแลเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก
พาวเวลล์ วัย 65 ปี ซึ่งอาจเป็นประธานเฟดรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ จะเข้ามาควบคุมนโยบายทางการเงินไม่นาน หลังทศวรรษแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุด และในขณะที่พวกนักวิเคราะห์กำลังชี้ถึงความท้าทายต่างๆ ในแนวนอน
ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนใหม่ ให้สัญญาว่าจะคอยให้คำชี้แจงเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวต่างๆ ทางนโยบายของเฟด สัญญาณที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจของพวกเหล่าสมาชิกรัฐสภาหัวอนุรักษนิยมที่เรียกร้องธนาคารกลางให้ยึดมั่นตามสูตรคณิตศาสตร์สำหรับกำหนดอัตราดอกเบี้ย ความต้องการที่พวกเจ้าหน้าที่เฟดคัดค้าน
พาวเวลล์ ยังบอกด้วยว่ามาตรการปฏิรูปธนาคารกลางที่บังคับใช้มาตั้งแต่วิกฤต 2008 ได้ทำให้ภาคการเงินเข้มแข็งขึ้น “เรามีความตั้งใจรักษาแนวทางนั้น” เขากล่าวหลังจากสาบานตนรับตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจน ซึ่งบางทีอาจเป็นการขานรับต่อเป้าหมายลำดับต้นๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลด ภาระของการกำกับดูแล (regulatory burdens) ในเศรษฐกิจเสียก่อน
“เราจะยังคงทำงานหนักเพื่อให้แน่ใจว่ากฏระเบียบและการกำกับดูแลองเราจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล” พาวเวลล์กล่าว “ในฐานะธนาคารกลางสหรัฐฯ เรารู้ว่าการตัดสินใจของเราสำคัญสำหรับครัวเรือนและพวกนักธุรกิจอเมริกา”
พาวเวลล์ เข้าร่วมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในฐานะผู้ว่าการในปี 2012 โดยได้รับการแต่งตั้งจากบารัค โอบามา ประธานาธิบดีอเมริกา ณ ขณะนั้น โดยในปีดังกล่าวเฟดได้กำหนดอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายรายปีที่ 2 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ เจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟดออกจากตำแหน่งไปพร้อมกับดัชนีราคาระดับต่ำ เศรษฐกิจเติบโตทรงตัวและการจ้างงานเพิ่มขึ้น
แม้มีผลงานที่ดีเยี่ยม แต่ เยลเลน ผู้หญิงคนแรกที่ก้าวเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กลับกลายเป็นประธานเฟดคนแรกที่ไม่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมัย 2
พาวเวลล์ซึ่งไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ เข้ารับตำแหน่งในขณะที่มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันทางการเงิน จากมาตรการปฏิรูปภาษีครั้งมโหฬารที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเมื่อเดือนธันวาคมและความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
ดูเหมือนว่าประธานเฟดคนใหม่จะมีกำหนดปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ในการเข้าให้ปากคำกับสภาคองเกรสในช่วงปลายเดือนนี้ ตามด้วยการเปิดแถลงข่าวเป็นครั้งแรกหลังการประชุมนโยบายทางการเงินประจำเดือนมีนาคม