รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธ (24 ม.ค.) ว่ายินดีที่จะเข้าให้ปากคำและสาบานยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองต่อหน้าอัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์ ซึ่งทำหน้าที่สืบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016
ขณะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ ได้เอ่ยถึงการเข้าให้ปากคำต่อ มุลเลอร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ว่า “จริงๆ ผมก็รออยู่นะ... ผมพร้อมจะให้ปากคำด้วยการสาบาน”
แม้ ทรัมป์ จะเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่ายินดีให้ความร่วมมือกับ มุลเลอร์ เต็มที่ แต่คำยืนยันล่าสุดมีขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวและพันธมิตรของผู้นำสหรัฐฯ ในสภาคองเกรสเริ่มโจมตีความน่าเชื่อถือของกระบวนการสืบสวนครั้งนี้ และตัว ทรัมป์ เองก็ไม่พูดชัดเจนว่าจะยอมตอบคำถามหรือไม่
แหล่งข่าวใกล้ชิดกระบวนการสืบสวนระบุว่า ทนายของทรัมป์ได้พูดคุยกับทีมงานของมุลเลอร์บ้างแล้วเกี่ยวกับการเข้าให้ปากคำของประธานาธิบดี
“ผมพร้อมทำเช่นนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่าการนัดหมายวันเวลาที่แน่นอน “เป็นหน้าที่ของทนาย” และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เขาคิดว่า มุลเลอร์ จะให้ความเป็นธรรมหรือไม่ ทรัมป์ ก็ตอบแค่ว่า “เดี๋ยวคงได้รู้กัน”
แหล่งข่าวเผยกับรอยเตอร์เมื่อวานนี้ (24) ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน รวมถึง ไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการซีไอเอคนปัจจุบัน ก็ถูกเชิญเข้าให้ปากคำกับทีมงาน มุลเลอร์ แล้วว่า ทรัมป์ เคยพยายามขัดขวางกระบวนการสอบสวนเรื่องรัสเซียหรือไม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภารกิจของ มุลเลอร์ ครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบการกระทำของประธานาธิบดีเองด้วย
ทรัมป์ ได้กล่าวยืนยันอีกครั้งเมื่อวานนี้ (24) ว่าไม่มีการสบคบคิดใดๆ ทั้งสิ้นระหว่างทีมงานของเขากับรัสเซีย และ “ไม่มีความพยายามขัดขวางในทุกๆ รูปแบบ”
ด้านทำเนียบเครมลินเองก็ออกมาปฏิเสธข้อสรุปของประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ ที่เชื่อว่า มอสโกใช้วิธีแฮกข้อมูลและปล่อยข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้กับ ทรัมป์
ผู้นำสหรัฐฯ ยังปฏิเสธรายงานของวอชิงตันโพสต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอ้างว่าเขาเคยถาม แอนดรูว์ แม็กเคบ รักษาการผู้อำนวยการเอฟบีไอตรงๆ ว่า “เลือกใครเป็นประธานาธิบดี?” เมื่อปี 2016 ซึ่งทำให้ แมคเคบ วิตกกังวลว่าพนักงานของรัฐกำลังถูกตรวจสอบเรื่องค่านิยมทางการเมือง
“ผมว่าไม่นะ คิดว่าไม่เคยถามหรอก แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา เพราะผมก็คงจะถามคุณเหมือนกันแหละ” ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าว
ทีมงานมุลเลอร์เคยเชิญ ปอมเปโอ, ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ แดน โคตส์ และผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ไมค์ โรเจอร์ส เข้าให้ปากคำเมื่อปีที่แล้ว โดยสอบถามว่า ทรัมป์ เคยขอให้พวกเขาช่วยข่มขู่ เจมส์ โคมีย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอจนกระทั่งถูกสั่งปลดในเดือน พ.ค.บ้างหรือไม่
โคมีย์ อ้างว่า ทรัมป์ สั่งปลดตนเพราะต้องการขัดขวางกระบวนการสอบสวนเรื่องรัสเซีย ซึ่งการปลด โคมีย์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ มุลเลอร์ ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงยุติธรรมให้เข้ามาคุมสอบคดีนี้แทน
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานวานนี้ (24) ว่า บุคลากรทำเนียบขาวกว่า 20 คนได้เข้าให้ปากคำกับทีมงานของ มุลเลอร์ โดยสมัครใจ
แอนดรูว์ ไรต์ อาจารย์จากโรงเรียนกฎหมายซาวันนาห์ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชี้ว่า โดยปกติแล้วการเข้าให้ปากคำกับเอฟบีไอไม่จำเป็นต้อง “สาบาน” แต่หาก ทรัมป์ พูดโกหกต่อพนักงานสอบสวน ต่อให้ไม่สาบานก็ยังมีความผิดทางอาญาอยู่ดี ไม่ต่างจากกรณีของ ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และ จอร์จ ปาปาโดปูโลส อดีตที่ปรึกษาแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ ซึ่งโดนข้อหานี้มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ อาจจำเป็นต้องสาบาน หาก มุลเลอร์ ขอหมายศาลเชิญตัวประธานาธิบดีเข้าให้ปากคำต่อคณะลูกขุนใหญ่ แทนที่จะสอบถามเป็นการส่วนตัว