รอยเตอร์ - รัฐบาลจีนสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ในมณฑลเจียงซีและมณฑลเหอหนาน โทษฐานกระทำการแทรกแซงอุปกรณ์วัดค่าฝุ่นละอองในอากาศเพื่อให้ดูเหมือนว่าหมอกควันลดลงเกินจริง กระทรวงสิ่งแวดล้อมจีนประกาศวานนี้ (14 ม.ค.)
รัฐบาลจีนเริ่มทำ “สงครามขจัดมลพิษ” มาตั้งแต่ปี 2014 เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการเมืองซึ่งเกิดจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างไร้การควบคุมมานานกว่า 30 ปี ทว่าการบังคับใช้กฎหมายควบคุมมลพิษให้ได้ผลก็ยังเป็นปัญหาเรื่อยมา
กระทรวงการปกป้องสิ่งแวดล้อมของจีนแถลงว่า เจ้าหน้าที่เมืองซินอี๋ว์ (Xinyu) ในมณฑลเจียงซี และเมืองซินหยาง (Xinyang) ในมณฑลเหอหนาน พยายามโกงค่ามลพิษโดยนำน้ำเปล่าไปฉีดพ่นบริเวณเซ็นเซอร์ของอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ทั้ง 2 เมืองดังกล่าวได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดมลพิษรายใหญ่ของจีน และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตโลหะที่ไม่มีแร่เหล็กเป็นส่วนประกอบ (nonferrous metals) เช่น อลูมิเนียมและทองแดง
รัฐบาลท้องถิ่นของทั้งสองเมืองยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ถูกไล่ออก หรือไม่ก็ถูก “ลงโทษทางปกครอง” ไปแล้ว
“ต่อให้พวกเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ตั้งใจโกง และไม่ว่าสิ่งที่ทำจะมีผลต่อการอ่านค่ามลพิษหรือไม่ การเอาน้ำไปฉีดใส่อุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศก็ถือว่าแทรกแซงการทำงานตามปกติของมัน” กระทรวงสิ่งแวดล้อมจีน แถลงเมื่อวันอาทิตย์ (14)
ทางกระทรวงได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดค่ามลพิษแบบเรียลไทม์ขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบังคับใช้กฎหมายอย่างทั่วถึงและจริงจัง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเจอปัญหาการปลอมแปลงค่ามลพิษอยู่เนืองๆ เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมักจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการปิดเครื่อง หรือแกล้งใช้งานไม่ถูกวิธี ขณะที่บางโรงงานจะเปิดเครื่องตรวจวัดเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น
กระทรวงสิ่งแวดล้อมจีนพยายามลด “การแทรกแซง” เหล่านี้ด้วยการนำสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้ง 1,436 แห่งเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลาง และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นเข้าไปยุ่งเกี่ยว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มณฑลเหอหนานถูกกล่าวโทษว่าล้มเหลวในการควบคุมคุณภาพอากาศ เพราะเมื่อเดือน มี.ค. ปีที่แล้วก็มีหลายโรงงานในมณฑลแห่งนี้ที่แจ้งค่าการปล่อยมลพิษเป็นเท็จ
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมในเมืองซีอานก็ถูกลงโทษฐานเอา “สำลี” ไปยัดใส่เซ็นเซอร์เครื่องตรวจวัดฝุ่นละออง และถอดเทปบันทึกข้อมูลออก