เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สาปส่งหนึ่งในพันธมิตรการเมืองที่ใกล้ชิดที่สุด จวก “สตีฟ แบนนอน” เสียสติและสำคัญตัวเองผิด หลังอดีตหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาวผู้นี้วิจารณ์ผ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เตรียมวางแผงเร็วๆ นี้ ว่า การที่ลูกชายคนโตของประธานาธิบดีนัดคุยกับทนายที่มีสายสัมพันธ์กับเครมลินเป็น “การทรยศชาติ”
ทรัมป์ตอบโต้แบนนอนอย่างเร็วรี่เมื่อวันพุธ (3 ม.ค.) ด้วยถ้อยคำเจ็บแสบที่สุดแม้เมื่อเทียบกับมาตรฐานความปากร้ายที่ผ่านมาของประมุขทำเนียบขาวผู้นี้ก็ตาม
“สตีฟ แบนนอน ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผมหรือตำแหน่งประธานาธิบดีของผม ตอนที่ถูกไล่ออก เขาไม่ได้แค่เสียงาน แต่เสียสติด้วย” และสำทับว่า แบนนอนทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง รวมทั้งโทษว่า เขาเป็นต้นเหตุให้รีพับลิกันเสียที่นั่งในวุฒิสภาจากความพ่ายแพ้ของรอย มัวร์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้วุฒิสมาชิกในรัฐแอละแบมาที่มีข่าวฉาวลวนลามเด็กสาว เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์ก ที่ชีวิตพลิกผันได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังโจมตีว่า แบนนอนเสแสร้งทำสงครามกับสื่อโดยเรียกสื่อว่าเป็น พรรคฝ่ายค้าน แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในทำเนียบขาว เขากลับปล่อยข้อมูลเท็จให้สื่อเพื่อสร้างภาพว่า ตัวเองมีความสำคัญ
แบนนอน ซึ่งเป็นประธานกรรมการของเว็บไซต์ข่าวขวาจัด “เบรตบาร์ต นิวส์” เป็นผู้อุ้มสมทรัมป์เข้าถึงกลุ่มชาตินิยมขวาจัด ช่วยกำหนดนโยบายประชานิยม ร่างข้อความต่อต้านนักการเมืองกระแสหลัก ทั้งนี้ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า หลังเหตุการณ์คราวนี้แล้วจะทำให้แบนนอนยิ่งโจมตีบรรดาผู้นำรีพับลิกันหนักข้อขึ้นหรือขยายผลเล่นงานทรัมป์ด้วย หรือว่ากลับทำให้ตัวเขาเองอ่อนแอลง
สื่ออเมริกันรายงานว่า ชาร์ลส์ ฮาร์เดอร์ ทนายความประธานาธิบดี ส่งจดหมายแจ้งให้แบนนอนยุติการกระทำเช่นที่ทำอยู่ และกล่าวหาว่า แบนนอนละเมิดข้อตกลงไม่เปิดเผยความลับภายหลังพ้นตำแหน่ง จากการที่ให้ข้อมูลกับไมเคิล โวล์ฟ ผู้แต่งหนังสือ “ไฟร์ แอนด์ ฟิวรี: อินไซด์ เดอะ ทรัมป์ ไวท์ เฮาส์” ที่กำลังจะวางแผง
ข้อความส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ที่หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยน และนิตยสารนิวยอร์ก นำออกมาเผยแพร่ ได้อ้างอิงคำพูดของแบนนอนที่วิจารณ์โดนัลด์ จูเนียร์ และอิวองกา ลูกชายและลูกสาวของทรัมป์
แบนนอนที่ถูกปลดจากทำเนียบขาวเมื่อเดือนสิงหาคม ยังบอกว่า การสอบสวนของที่ปรึกษาพิเศษฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม โรเบิร์ต มุลเลอร์ กรณีความเป็นไปได้ที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 และทีมหาเสียงของทรัมป์สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่นั้น จะโฟกัสที่เรื่องการฟอกเงิน
อดีตหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาวผู้นี้ ยังระบุว่า การที่ โดนัลด์ จูเนียร์, จาเร็ต คุชเนอร์ สามีของอิวองกา และ พอล มานาฟอร์ต อดีตผู้จัดการแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ นัดพบ นาตาเลีย เวเซลนิตสกายา ทนายความรัสเซีย เมื่อเดือนมิถุนายน 2016 ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ ในนิวยอร์กโดยไม่มีทนายร่วมเป็นสักขีพยานด้วยเลย ถือเป็นพฤติการณ์ทรยศขายชาติ
แบนนอน แจงว่า หลังจากคนกลางที่ติดต่อมาให้สัญญาว่า ทนายความหญิงผู้นี้มีข้อมูลที่สามารถทำลายชื่อเสียง ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งของทรัมป์จากพรรคเดโมแครตได้ ลูกชายคนโตของทรัมป์อีเมลตอบกลับไปว่า “ยินดีอย่างยิ่ง”
ทรัมป์ จูเนียร์ ทวีตตอบโต้ทันควันเช่นกันว่า แบนนอนฉกฉวยสิทธิพิเศษและโอกาสจากการได้ทำงานในทำเนียบขาว มาแทงข้างหลัง ล่วงละเมิด ปล่อยข่าวลวง และบ่อนทำลายประธานาธิบดี
“เขาไม่ใช่นักยุทธศาสตร์ แต่เป็นนักฉวยโอกาส”
นอกจากนั้น ในหนังสือของโวล์ฟที่เจ้าตัวอ้างว่า มาจากการสัมภาษณ์ทรัมป์ เหล่าผู้ช่วยอาวุโส และคนอื่นๆ ยังแฉว่า การที่ทรัมป์เลือกรับประทานอาหารจากร้านแมคโดนัลด์ เพราะเชื่อว่า จะไม่ถูกลอบวางยา และยังบอกว่า ทีมหาเสียงกระทั่งสมาชิกครอบครัวไม่เชื่อว่า เขาจะชนะการเลือกตั้ง
“หลังผ่านสองทุ่มไม่นานในคืนเลือกตั้ง ตอนที่ดูเหมือนเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ทรัมป์ ชนะ ดอน จูเนียร์ บอกเพื่อนว่า พ่อทำหน้าตาเหมือนเจอผี ส่วนเมลาเนียปล่อยโฮ แต่ไม่ใช่เพราะดีใจแน่นอน”
หนังสือเล่มนี้ยังให้รายละเอียดของทรงผมประหลาดของทรัมป์ โดยอ้างอิงคำบอกเล่าของอิวองกากับเพื่อนๆ ของเธอว่า มาจากการ “หวีผมปิดหัวล้าน” แล้วฉีดสเปรย์ทับ ส่วนผมสีบลอนด์ส้มก็เป็นเพราะการใช้ยาย้อมปิดผมขาวยี่ห้อจัสต์ ฟอร์ เมนมาเป็นเวลานาน
ร้อนถึงซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ต้องออกมาแก้ข่าวว่า หนังสือของโวล์ฟมีแต่เรื่องโกหกและทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยมาจากบุคคลที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือมีอิทธิพลใดๆ ในทำเนียบขาว
เช่นเดียวกัน สเตฟานี กริแชม โฆษกเมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์โจมตี ว่า หนังสือดังกล่าวคงต้องวางขายในส่วนหนังสือลดราคา และยืนยันว่า เมลาเนียสนับสนุนการตัดสินใจของสามีในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมทั้งเชื่อมั่นและดีใจที่สามีได้รับชัยชนะ