xs
xsm
sm
md
lg

InClips :รัสเซียบุกคิวบา “ส่งรถลาดาหมีขาว 300 คัน” เข้าฮาวานาเดือนหน้า ตัวเลขส่งออกพุ่งกว่า 80% มั่นคงสหรัฐฯหวั่น กลัว “ปูติน” ใช้คิวบาสอดแนมรอบใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รอยเตอร์ - มอสโกรุกคืบอาศัยช่วงเวลาสหรัฐฯทิ้งคิวบา เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์การค้าการทหาร ประเดิมส่งรถสัญชาติหมีขาว รถลาดา (Lada)ที่คุ้นเคย จากบริษัทอัฟโตวาซ(Avtovaz)จำนวน 300 คันเข้ากรุงฮาวานาเดือนหน้าที่จะถึง การส่งออกรัสเซียไปคิวบาในรอบ 9 เดือนแรกปีนี้เพิ่ม 81% ไปอยู่ที่ 225  ล้านดอลลาร์ แถมในวันเสาร์(16 ธ.ค) ผู้นำคิวบา ราอูล คาสโตรเขย่ามือกับประธานบริษัทพลังงานรอสเนฟ ความมั่นคงสหรัฐฯสุดหวั่น พบเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯระดับสูง 16 นายส่งหนังสือถึงทรัมป์ เตือนปูตินอาจใช้คิวบาเป็นฐานสอดแนมรอบใหม่หากไม่คงนโนยบายเปิดประเทศกับคิวบาไว้

รอยเตอร์รายงานวันนี้(19 ธ.ค)ว่า ในเดือนมกราคมที่จะถึงพบว่า รถยนต์ลาดา(Lada) ของผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย บริษัทอัฟโตวาซ(Avtovaz) จำนวน 300 คัน จะถูกส่งเข้าไปยังคิวบา อันเป็นสัญญาณรอบใหม่ถึงความสัมพันธ์ที่กลับมาเริ่มต้นอีกครั้งระหว่าง 2 ชาติพันธมิตรยุคสงครามเย็น รัสเซียและคิวบา

ซึ่งทางบริษัทกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ทางอัฟโตวาซหวังว่าจะสามารถเพิ่มตัวเลขการส่งออกได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการสนับสนุนของธนาคารเพื่อการพัฒนา  VEB ให้การสนับสนุน

รอยเตอร์ชี้ว่า เครมลินได้ทุ่มเม็ดเงินให้การสนับสนุนทั้งบริษัทรถยนต์อัฟโตวาซและบริษัทอื่นๆใจ เป้าหมายเพื่อต้องการเพิ่มตัวเลขการส่งออกไปยังคิวบา พันธมิตรที่ห่างไกลแต่อยู่ใกล้กับสหรัฐฯที่ยังคงเป็นประเทศระบอบคอมมิวนิสต์

โดยทางรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า ถือเป็นยุทธศาสตร์แบบกว้างของฝั่งเครมลินในการเพิ่มอิทธิพลต่อคิวบาทั้งการค้า การลงทุน การทหาร และการเมือง ฉวยโอกาสที่สหรัฐฯในสมัยรัฐบาลชุดทรัมป์เลือกที่จะไม่ทำตามชุดรัฐบาลก่อนหน้า ถอยห่างออกมาจากฮาวานา

และพบว่าการค้าระหว่างรัสเซียและคิวบาเฟื่องฟูมากที่สุดในปีนี้ โดยอ้างอิงจากตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัสเซียพบว่า แค่ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนของปีนี้ หรือตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนถึงเดือนกันยายน พบตัวเลขส่งออกของแดนหมีขาวเพิ่มสูงขึ้น 81% ไปอยู่ที่ 225 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นแค่ 1 ใน 4 ของจีนที่ส่งออกไปยังคิวบา ซึ่งผูกขาดเป็นคู่ค้าอันดับ 1 กับฮาวานา กระนั้นพบว่าการเติบโตทางการค้าระหว่างเครมลินและฮาวานานั้นมีการเติบโตที่รวดเร็วมาก

และความเคลื่อนไหวที่สำคัญล่าสุดเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ประธานาธิบดีคาสโตรของคิวบา และประธานบริษัทพลังงานรัสเซีย รอสเนฟ มีการพบปะกันในวันเสาร์(16) ที่มีรายงานชี้ว่า อาจจะมีข่าวดีการตกลงความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกันในอนาคต

ซึ่งรอยเตอร์ชี้ว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีการขนส่งน้ำมันของรอสเนฟเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้มายังคิวบาเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยทางรอยเตอร์ชี้ว่า การส่งน้ำมันเข้าคิวบาของรัสเซียเกิดขึ้นท่ามกลางจำนวนการขนส่งน้ำมันที่ลดลงจากเวเนซุเอลาที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้

และความเคลื่อนไหวแบบถี่ยิบของรัสเซียยังเกิดขึ้นในช่วงพฤศจิกายนล่าสุด บริษัทเอกชนรัสเซียที่ชื่อ ซินารา( Sinara)ได้ทำการจัดส่งหัวรถหัวจักรรถไฟจำนวน 75 คันมูลค่าโดยรวม 190 ล้านดอลลาร์ตามคำสั่งซื้อของฮาวานาในปี 2016 และบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุกที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียยังหันมาเพิ่มการส่งออกไปคิวบา

รอยเตอร์รายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงที่อยู่ในระหว่างการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ประเทศทั้งในด้านคมนาคมทางรถไฟและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ

โดยในส่วนของระบบการขนส่งทางรางพบว่า องค์การรถไฟรัสเซีย RZD ที่มีเครมลินเป็นเจ้าของอยู่ในระหว่างการเจรจากับฮาวานาถึงโครงการปรับปรุงระบบโครงสร้างรางรถไฟคิวบาที่มีระยะทางไม่ต่ำกว่า 1,000 ก.ม และโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงฮาวานา-วาราเดโร( Varadero) เมืองตากอากาศชื่อดัง ซึ่งหากโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้เกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับเป็นการเกิดโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดของคิวบาในรอบหลายสิบปี

โอเลก นิโคลาเอฟ(Oleg Nikolaev)ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร บริษัทลูกขององค์การรถไฟรัสเซีย บริษัทองค์การรถไฟรัสเซีย อินเตอร์เนชันแนล( RZD International)ได้เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า “คาดว่าข้อตกลงที่จะมีขึ้นนั้น มีมูลค่าราว 1.9 พันล้านยูโร(2.26 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งจะสามารถลงนามได้ภายในสิ้นปีนี้”

ด้านเจ้าหน้าที่ตัวแทนการค้ารัสเซียประจำคิวบา อเล็กชานด์ร์ โบกาเตอร์(Aleksandr Bogatyr) กล่าวให้ความเห็นว่า “เราสามารถเรียกช่วงเวลานี้ว่า เป็นปีแห่งการเกิดใหม่” และยังได้คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางการค้าระดับทวิภาคีว่า อาจไต่ระดับไปถึง 350 -400 ล้านในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่สูงสุดในช่วงเกือบ 20 ปี เพิ่มมาจากปี 2016 ที่ 248 ล้านดอลลาร์

รอยเตอร์รายงานต่อว่า ภายใต้ความทะเยอทะยานของประธานาธิบดีปูตินที่พยายามผลักดันให้ประเทศรัสเซียกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจของโลกอีกครั้ง ทำให้ในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทางเครมลินพยายามอย่างหนักที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอดีตประเทศสหายในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะกับบรรดาประเทศที่มีความกังวลถึงอิทธิพลของวอชิงตัน

การกลับมาหวานชื่นกับคิวบาอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อปี 2014 เมื่อรัสเซียยอมใจดียกเลิกหนี้ร่วม 90% หรือราว 35 พันล้านดอลลาร์ที่เกิดตั้งแต่ในสมัยอดีตสหภาพโซเวียต และรวมไปถึงทางเครมลินได้เริ่มให้การสนับสนุนทางการเงินกับบรรดาบริษัทรัสเซียที่ต้องการขยายการส่งออกไปยังคิวบา

รอยเตอร์ชี้ว่า การกลับมาอีกครั้งของสหายเก่าสร้างความยินดีให้กับน้องชายฟิเดล คาสโตรเป็นอย่างมาก ซึ่งเขามีกำหนดที่จะลงจากอำนาจในต้นปีหน้า และจะถือเป็นการปิดฉากยุคพี่น้องคาสโตรครองอำนาจในคิวบาลง

ด้านสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ใกล้คิวบา จับตาความเคลื่อนไหวของรัสเซียด้วยความกังวล โดยผู้เชี่ยวชาญทางการทหารของสหรัฐฯเกรงว่า การเข้ามาของรัสเซียจะเป็นการถือโอกาสที่ใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อครอบงำคิวบา เพื่อเพิ่มบทบาททางการทหารและการสอดแนมบนประเทศเกาะที่ตั้งไม่ห่างจากรัฐฟลอริดาแห่งนี้

และพบว่าในเดือนเมษายนปีนี้ มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหรัฐฯจำนวน 16 นายได้ยื่นหนังสือต่อผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ยังคงนโยบายด้านการต่างประเทศในสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามาไว้เพื่อเหตุผลด้านความมั่นคงประเทศ

ความกังวลของสหรัฐฯแสดงได้จากรายงานของสื่อสปูนิกของรัสเซีย ที่ได้รายงานเมื่อวันที่ 5 พ.ยที่ผ่านมาว่า รัสเซียมีความสนใจที่อาจจะเปิดที่ตั้งทางการทหารใหม่อีกครั้งในคิวบาและเวียดนาม โดยสปูนิกใช้คำว่า “เพื่อป้องกันความก้าวร้าวจากสหรัฐฯ”

โดยผู้เสนอแนวคิดนี้คือ หัวหน้าคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและการปกป้องประเทศประจำวุฒิสภารัสเซีย วิกเตอร์ บอนดาเรฟ(Viktor Bondarev) ที่ออกมาให้ความเห็นโดยกล่าวว่า “ผมคิดว่าภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์ที่ตรึงเครียดของโลกในเวลานี้ และการเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในประเทศอย่างชัดเจนของชาติอื่น บรรดาอดีตชาติพันธมิตรของรัสเซีย ดังนั้นจึงไม่อาจตัดความเป็นไปได้ต่อการหวนกลับคืนสู่ภูมิภาคลาตินอเมริกาของรัสเซีย และแน่นอนที่สุดความเคลื่อนไหวนี้ควรที่จะถูกดำเนินการสอดคล้องไปกับพวกคิวบา”

บอนดาเรฟกล่าวให้ความเห็นโดยชี้ไปว่า การปรากฎของรัสเซียในคิวบาก่อนปี 2002 เพื่อคานอำนาจกับสหรัฐฯจากการที่จะบุกเข้าไปยังดินแดน ซึ่งทางเครมลินมองเป็นเสมือนผลประโยชน์ของรัสเซีย

นอกจากนี้ในการให้สัมภาษณ์ ประธานคณกรรมาธิการสภาสูงรัสเซียยังชี้ถึง การเปิดฐานกองทัพเรือรัสเซียที่เวียดนามขึ้นใหม่อีกครั้งภายใต้การอนุญาตจากรัฐบาลโฮจิมิน แต่ชี้ว่า ควรเกิดขึ้นในกรณีที่สหรัฐฯเพื่มระดับการคุกคาม

โดยสื่อสปูนิกชี้ว่า การให้รายงานการให้สัมภาษณ์ของบอนดาเรฟเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากผู้ช่วยประธานคนที่หนึ่งของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและการปกป้องประเทศประจำสภาสูงรัสเซีย ฟรานต์สคลินเซวิช(Frants Klintsevich) ได้ออกมากล่าวแสดงความเห็นกระตุ้นให้ทางเครมลินเปิดที่ตั้งทางการทหารรัสเซียใหม่อีกครั้งในคิวบา

อ้างอิงจากสื่อสปูนิกพบว่า อดีตสหภาพโซเวียได้ลงนามข้อตกลงกับเวียดนามในการเปิดฐานทัพ Cam Ranh  เมื่อปี 1979 หลังเกิดสงครามจีน-เวียดนาม แต่ปิดตัวลงไปในช่วงยุคปี 2000 และพบว่าสำหรับในคิวบา ฐานทัพ Lourdes ได้เริ่มใช้งานในปี 1962 ซึ่งเป็นที่ตั้งทางทหารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียตั้งแต่เคยมีมา แต่ต้องถูกปิดตัวลงไปในปี 2002 เนื่องมาจากปัญหาค่าใช้จ่าย และนโยบายการลดกำลังพลทั่วโลกของฝ่ายรัสเซีย

และในปีที่แล้ว บีบีซี สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 5 ต.ค 2016 ว่า โดยอ้างถึงการให้สัมภาษณ์ของ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย นิโคไล พานคอฟ(Nikolai Pankov ) ประกาศกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนการที่รัสเซียอาจจะเปิดที่ทำการที่ตั้งทางการทหารขึ้นในคิวบาและเวียดนามอีกครั้ง โดยในรายงานของสื่ออังกฤษพบว่า ได้มีการรายงานเรื่องนี้ต่อรัฐสภารัสเซียให้รับทราบ แต่อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานในวันที่ 13 ต.ค ปีเดียวกันนั้นว่า ทางโฮจิมินประกาศ ไม่ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพขึ้นภายในดินแดนเวียดนาม




กำลังโหลดความคิดเห็น