เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เพื่อหารือเรื่องโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเมื่อวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) พร้อมกันนั้นก็ได้กล่าวขอบคุณ ปูติน ที่เอ่ยชมเศรษฐกิจอเมริกันว่าเข้มแข็ง
ถ้อยแถลงจากทำเนียบเครมลิน ระบุว่า ผู้นำทั้งสองได้หารือ “สถานการณ์ในพื้นที่วิกฤตหลายแห่ง โดยเน้นไปที่การแก้ไขวิกฤตนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี” ทว่าไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ทำเนียบขาวระบุในทำนองเดียวกันว่า ทรัมป์ และ ปูติน ได้หารือ “แนวทางทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่งในเกาหลีเหนือ” แต่ก็ถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณผู้นำรัสเซียเป็นพิเศษด้วย
“ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ขอบคุณประธานาธิบดีปูติน ที่กล่าวถึงเศรษฐกิจอเมริกาว่ามีความเข้มแข็งระหว่างการแถลงข่าวประจำปี” ทำเนียบขาวระบุ
ผู้นำหมีขาวได้เปิดการแถลงข่าวประจำปีต่อหน้าสื่อมวลชนนับร้อยที่กรุงมอสโกเมื่อวานนี้ (14) โดยระบุว่า “พวกคุณดูสิว่าตลาดมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร มันมีการขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของอเมริกา ด้วยความเคารพต่อบรรดาผู้ต่อต้าน (ทรัมป์) ทั้งหลาย ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง”
ทรัมป์และปูตินเคยสรรเสริญเยินยอกันเช่นนี้มาหลายครั้ง จนนักวิจารณ์บางคนถึงกับอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ด้วยคำว่า “bromance” ซึ่งหมายถึงความรักใคร่ถูกชะตาระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แต่งตั้งให้ โรเบิร์ต มุลเลอร์ เป็นอัยการพิเศษสืบสวนความสัมพันธ์ระหว่างทีมหาเสียงทรัมป์กับมอสโกว่ามีเจตนาที่จะเบี่ยงเบนผลการเลือกตั้งหรือไม่
สหรัฐฯ ประกาศในสัปดาห์นี้ว่าพร้อมที่จะเจรจากับเกาหลีเหนือ “แบบไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้น” หลังจากเปียงยางงัดขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ออกมายิงโชว์ติดๆ กันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะ “ฮวาซอง-15” ที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสามารถถล่มแผ่นดินอเมริกาได้ทุกจุด
เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า แม้รัฐบาลทรัมป์จะต้องการให้เปียงยางปลดอาวุธนิวเคลียร์ในที่สุด แต่ก็พร้อมที่จะเปิดเจรจาด้วยเป็นครั้งแรกโดยไม่กำหนดเงื่อนไขเบื้องต้น
ปูติน บอกกับผู้สื่อข่าวที่มอสโกว่า ตนรู้สึกยินดีที่สหรัฐฯ “ตระหนักรู้ในความจริง” เกี่ยวกับปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ พร้อมขอร้องให้ทุกฝ่ายหยุด “ยั่วยุให้สถานการณ์เลวร้ายลง” และยืนยันว่ารัสเซียไม่เคยยอมรับว่าโสมแดงเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์รายใหม่
