เอเอฟพี/รอยเตอร์ - สหภาพยุโรป (อียู) ในวันจันทร์ (11 ธ.ค.) เห็นพ้องหวนคืนติดต่อทางการเมือง “ทุกระดับ” กับประเทศไทย หลังจากระงับมานาน 3 ปี เพื่อประท้วงกรณีที่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจในกรุงเทพฯ
อียูระบุว่า พัฒนาการหลายอย่างในไทยในปีนี้ในนั้นรวมถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และคำสัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่บอกว่าจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2018 นั่นหมายความว่ามันเหมาะสมที่จะคืนความสัมพันธ์ระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม ทางสหภาพยุโรปได้ย้ำถึงเสียงเรียกร้องให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ และบอกว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับการตามรังควานพวกนักเคลื่อนไหวสิทธมนุษยชนและการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกในไทย
ที่ประชุมหนึ่งของคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูในกรุงบรัสเซลส์ บอกว่ามันเหมาะสมแล้วที่จะหาทางคืนความร่วมมือทางการเมืองกับไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป “เพราะฉะนั้น อียูจึงตัดสินใจคืนการติดต่อทางการเมืองทุกระดับกับไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การเจรจาที่มีความสำคัญ”
เหล่ารัฐมนตรีอียูพักการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการทั้งหมด และระงับลงนามในบันทึกความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับกรุงเทพฯในเดือนมิถุนายน 2014 หลังกองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจ
แต่คำสัญญาจัดการเลือกตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ และมาตรการอื่นๆ อย่างเช่นยุติดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ได้โน้มน้าวให้อียูหวนคืนการติดต่อประสานงานกันอีกครั้ง
อียูบอกว่าพวกเขาจะมองหาความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับไทย เช่นเดียวกับบันทึกความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ กับรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่
อียูคือคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย รองจากจีนและญี่ปุ่น ส่วน ไทย ก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ในอาเซียนของอียู
มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปอียูอยู่ที่ 19,600 ล้านยูโรในปี 2015 ส่วน อียู ส่งสินค้าออกไปมายังไทย คิดเป็นมูลค่า 13,400 ล้านยูโร ในปี 2015