เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้(21 พ.ย) ผู้นำสหรัฐฯออกมาให้ความเห็นข้อตกลงดีลควบรวมสื่อครั้งประวัติศาสตร์มูลค่า 85 พันล้านดอลลาร์ระหว่างยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมสหรัฐฯ AT&T และไทม์วอร์นเนอร์ (Time Warner) ว่า เป็นข้อตกลงที่ไม่ดีสำหรับประเทศสหรัฐฯ เพราะจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น เกิดขึ้น 1 วันหลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯตัดสินใจยื่นศาลขวางดีลข้อตกลงซื้อขาย
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(21 พ.ย)ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาให้ความเห็นถึงดีลที่ทาง AT&Tของสหรัฐฯต้องการซื้อไทม์วอร์นเนอร์ (Time Warner) ในเชิงไม่เห็นด้วย
โดยผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า “โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกเสมอว่า เป็นข้อตกลงทางธุรกิจที่ไม่ดีต่อประเทศ ผมคิดว่าราคาจะต้องกระโดดขึ้น และสูงขึ้น” อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ชี้ว่า “แต่ผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง มันเป็นเรื่องคดีความ”
ทั้งนี้ก่อนหน้า สื่อ CNBC ของสหรัฐฯเคยออกมารายงานว่าข้อตกลงซื้อขาย หรือที่เรียกว่าการควบรวมแนวดิ่งระหว่าง AT&T และไทม์วอร์นเนอร์นั้นมีมูลค่าสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ที่ 85 พันล้านดอลลาร์
สื่อสหรัฐฯชี้ว่า การออกมาให้ความเห็นของทรัมป์ออกมา 1 วันหลังจากที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯตัดสินใจยื่นศาลขวางดีลข้อตกลงซื้อขายบนพื้นฐานเหตุผลว่า จะเป็นอันตรายต่อสภาวะการแข่งขันทางการค้า และทำร้ายผู้บริโภค ซึ่งหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯที่ทำการยื่นฟ้องคือ แผนกที่เคยรับผิดชอบคดีดีลควบรวมที่ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันย้อนไปไกลในช่วงยุค 70
ทั้งนี้ก่อนหน้า ทรัมป์ได้เคยออกมาให้ความเห็นต่อต้านดีลควบรวมนี้ตั้งแต่สมัยเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปีที่ผ่านมา และมีข่าวลือลามไปทั่วชี้ไปในแนวทางว่า ทรัมป์พยายามที่จะขวางการควบรวมเพื่อลงโทษสถานีโทรทัศน์ CNN ซึ่งอยู่ภายใต้ไทม์วอร์นเนอร์ที่มักออกอากาศวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์เสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม การออกมาให้ความเห็นถึงข้อตกลงนี้เกิดขึ้นวันอังคาร(21 พ.ย) เป็นครั้งแรกของทรัมป์ในฐานะที่เป็นผู้นำสหรัฐฯ
ซึ่งในการยื่นฟ้องขวางดีลซื้อขาย กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯอ้างว่า บริษัทโทรคมนาคมสหรัฐฯ AT&T สามารถใช้การควบคุมไทม์วอร์นเนอร์ เป็นเครื่องมือในการทำลายการแข่งขัน ส่งผลทำให้มีตัวเลือกที่น้อยลงในขณะที่ราคาสูงขึ้นสำหรับครอบครัวอเมริกัน
ทั้งนี้พบว่าทาง AT&T เตรียมพร้อมที่จะสู้ในชั้นศาลสำหรับในเรื่องนี้ CNN ชี้ ซึ่งในวันจันทร์(20 พ.ย) เดวิด แม็คคาธี ที่ 2 (David McAtee II )ที่ปรึกษาทั่วไปของทางบริษัทได้เรียกการยื่นฟ้องของทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯว่า “สุดโต่ง และไม่สามารถอธิบายได้ต่างจากธรรมเนียมปฎิบัติของกระบวนการปกป้องผู้บริโภคจากการค้าที่ไม่เป็นธรรมหลายสิบปีก่อนหน้า”
นอกจากนี้ยังได้ความเห็นต่อว่า “การควบรวมแนวดิ่งเช่นนี้มักได้รับการอนุมัติตามปกติ เพราะเป็นข้อตกลงที่จะให้ประโยชน์กับผู้บริโภคโดยที่ไม่มีการดึงคู่แข่งในตลาดรายอื่นๆออกไป ซึ่งทางเราไม่เห็นเหตุผลทางกฎหมายในข้อตกลงทางธุรกิจของเราจะถูกเลือกปฎิบัติต่างจากรายอื่น”
และที่ปรึกษาทั่วไปของบริษัท AT&T ยังชี้ว่า เขาขอเสริมว่า ข้อตกลงนี้จะทำให้การชมรายการโทรทัศน์นั้นถูกมากยิ่งขึ้น มีความล้ำสมัยมากขึ้น และยังสามารถรับชมจากที่ใดก็ได้
.
ด้าน แรนดาล สตีเฟนสัน(Randall Stephenson) ประธานกรรมการ และผู้อำนวยการบริหารบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ AT&T ชี้ว่า เขามีความเชื่อว่า ความเคลื่อนไหวของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯล่าสุด อาจได้รับแรงจูงใจจาการที่ผู้นำสหรัฐฯมีปัญหากับสื่อ CNN
“มีรายงานเป็นจำนวนมาก และมีการคาดการณ์มากมายชี้ว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับ CNN ซึ่งตามความเป็นจริงเลย ผมไม่ทราบ” สตีเฟนสันแถลงในวันจันทร์(20 พ.ย) และกล่าวต่อว่า “แต่ไม่ควรมีใครรู้สึกประหลาดใจถึงคำถามที่ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องผู้บริโภคจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม( Antitrust) ที่นี่”