เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาตอบโต้กระแสวิจารณ์ที่ว่าการทัวร์เอเชียสิบกว่าวันของเขาไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พร้อมประกาศจะรณรงค์ให้ทุกประเทศกดดันเกาหลีเหนือให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้โลกต้องตกเป็นเหยื่อ “การแบล็กเมล์ด้วยอาวุธนิวเคลียร์” แถมคุยโวสามารถกล่vม “สี จิ้นผิง” เปลี่ยนใจ หยุดเรียกร้องให้วอชิงตัน-โซลหยุดซ้อมรบ แลกเปลี่ยนกับเปียงยางระงับโครงการอาวุธ
“ผมพูดชัดเจนว่า เราจะไม่ยอมให้รัฐเผด็จการบิดเบี้ยวของเกาหลีเหนือจับโลกเป็นตัวประกัน และใช้อาวุธนิวเคลียร์มาแบล็กเมล์” ทรัมป์ แถลงต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธ (15 พ.ย.)
ในการแถลงข่าวซึ่งกินเวลา 25 นาที ทรัมป์ หันไปหยิบขวดน้ำดื่มบ่อยครั้ง และยังมีท่าทีอิดโรยจากการเดินทางแบบมาราธอนตั้งแต่รัฐฮาวาย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, เวียดนาม และไปสิ้นสุดที่ฟิลิปปินส์
ผู้นำสหรัฐฯ อ้างถึงคำชมเชยและการให้เกียรติจากบรรดาผู้นำในเอเชีย พร้อมชี้ว่าการที่ทุกประเทศปูพรมแดงต้อนรับตนนั้นแสดงให้เห็นว่า “อเมริกากลับมาผงาดอีกครั้ง”
“ทุกที่ที่เราไป ประเทศเจ้าภาพต้อนรับคณะผู้แทนอเมริกาและตัวผมเองอย่างอบอุ่น และที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาให้เกียรติเรา” ทรัมป์ กล่าว
ทรัมป์ และฝ่ายสนับสนุนยืนยันว่าการไปเยือนเอเชียครั้งนี้ห่างไกลจากคำว่า “ล้มเหลว” โดยยกตัวอย่างข้อตกลงการค้าที่จะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากเอเชียไหลเข้าสหรัฐฯ รวมถึงการที่จีนยอมปล่อยตัวนักบาสเก็ตบอลอเมริกัน 3 คนที่โดนข้อหาขโมยของในห้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ ยืนยันว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้รับปากกับเขาว่าจีนจะใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี
เวลานี้ยังไม่ชัดเจนว่าจีนบีบคั้นโสมแดงด้วยวิธีอื่นใด นอกเหนือไปจากมติคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือไม่
ทรัมป์ ยังอ้างด้วยว่า สี ซึ่งกำลังจะส่งคณะทูตไปเยือนเปียงยางในวันศุกร์นี้ (17) ได้ยอมยกเลิกข้อเสนอ “แนวทางคู่ขนาน” ซึ่งหมายถึงการที่สหรัฐฯ จะต้องยอมยุติซ้อมรบในภูมิภาค เพื่อให้เกาหลีเหนือระงับกิจกรรมนิวเคลียร์เป็นการแลกเปลี่ยน
“ประธานาธิบดี สี ตระหนักดีกว่าเกาหลีเหนือที่เป็นรัฐนิวเคลียร์นั้นจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อจีนเอง... และเราเห็นตรงกันว่าข้อตกลง 'ระงับทั้งสองฝ่าย' นั้นใช้ไม่ได้ผล และล้มเหลวมาแล้วหลายครั้งในอดีต” ทรัมป์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปสอบถามเรื่องนี้กับ เกิ่ง ส่วง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กลับได้รับคำตอบว่า จุดยืนของปักกิ่งในประเด็นอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือนั้น “สม่ำเสมอและชัดเจน”
“เราคิดว่าภายใต้สภาวการณ์ในปัจจุบัน แผนการริเริ่มให้ระงับแลกเปลี่ยนกับการระงับ คือแผนการที่สอดคล้องกับความเป็นจริง, เป็นไปได้, ยุติธรรม, และสมเหตุสมผลที่สุด” เกิ่งกล่าวตอบระหว่างการแถลงข่าวตามปกติที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดี (16)
“มันไม่เพียงสามารถผ่อนคลายสถานการณ์อันตึงเครียดในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังสามารถแก้ไขความกังวลด้านความมั่นคงอันบีบคั้นที่สุดสำหรับทุกๆ ฝ่ายอีกด้วย เป็นการอำนวยโอกาสและสร้างเงื่อนไขต่างๆ สำหรับการรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพ และหาวิธีการเพื่อผ่าทางตันก้าวออกจากความชะงักงันในเวลานี้” เขาบอก
“เราหวังว่าทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถมีวิธีเข้าถึงปัญหาอย่างจริงจัง และพิจารณาอย่างเป็นบวกต่อความสุจริตใจของฝ่ายจีน” เกิ่งกล่าว พร้อมกับพูดด้วยว่า การใช้กำลังทหาร “ไม่ใช่เป็นทางเลือก” สำหรับการแก้ไขวิกฤตนี้
สำหรับในสหรัฐฯนั้น เอ็ดเวิร์ด มาร์กี ส.ว.พรรคเดโมแครต ออกมาสรุปความคิดเห็นของคนในพรรคที่เชื่อว่า ทรัมป์ “ไม่ได้สร้างความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ” ในประเด็นเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างที่ไปเยือนเอเชียตะวันออก
“แทนที่จะเน้นเรื่องความสำคัญของการผนึกกำลัง 3 ฝ่าย (กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) เพื่อต่อต้านภัยคุกคามเกาหลีเหนือ ทรัมป์ กลับทวีตข้อความว่าเขาพยายามมากแค่ไหนที่จะเป็นเพื่อนกับโสมแดง ทว่าก็ยังคงวิจารณ์ คิม จองอึน ว่า อ้วนเตี้ย ด้วย” มาร์กี ระบุ
ระหว่างที่ประมุขทำเนียบขาวเยือนเวียดนาม กลุ่มชาติเอเชียแปซิฟิก 11 ประเทศยังประกาศจะเดินหน้าสานต่อความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งทรัมป์ประกาศนำอเมริกาถอนตัวออกไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นการตบหน้าอย่างแรงในทางการทูต และชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังมองข้ามหัวผู้นำอเมริกันชาตินิยมจัดและเอาแน่เอานอนไม่ได้รายนี้
“สหรัฐฯ ถูกขับออกจากเกมไปแล้ว” เนต โอลสัน จากสถาบันวิจัยสติมสัน ระบุ
“ในขณะที่สหรัฐฯ มัวแต่แสดงจุดยืนปกป้องตัวเอง ประเทศอื่นๆ ก็มุ่งมั่นต่อสู้เพื่อพลิกสนามการค้าให้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเองให้มากที่สุด... ความคืบหน้าในการบรรลุข้อตกลงซึ่งจะมาแทนที่ทีพีพีคือตัวอย่างที่ชัดเจน”