มะกันทนเสียงโห่ “ป้อง” เชื้อเพลิงฟอสซิล นักวิชาการยัน “ถ่านหินสะอาด” ไม่มีจริง

เอเอฟพี - อเมริกาเชียร์เชื้อเพลิงฟอสซิลเต็มเหนี่ยวระหว่างการประชุมโลกร้อนที่ยูเอ็นเป็นแม่งานในเยอรมนี ท่ามกลางเสียงโห่ฮาจากกลุ่มรณรงค์พลังงานสีเขียว อดีตนายกฯ เล็กนิวยอร์กเหน็บแรง การโปรโมตถ่านหินในการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ต่างจากการโปรโมตบุหรี่ในที่ประชุมมะเร็ง ขณะที่นักวิชาการยืนยัน “ถ่านหินสะอาด” ไม่มีจริง

จอร์จ เดวิด แบงก์ส ผู้ช่วยพิเศษด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และตัวแทนจากบริษัทพลังงาน ยืนยันโดยอ้างอิงการคาดการณ์ของทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ว่าจะยังคงมีการใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติต่อไปอย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมคู่ขนานนัดหนึ่ง ในระหว่างการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกของสหประชาชาติ ณ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันจันทร์ (13 พ.ย.)

แบงก์สสำทับว่า โลกควรร่วมกันทำให้มั่นใจว่า เชื้อเพลิงจากฟอสซิลที่นำมาใช้สะอาดและมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ความคิดเห็นดังกล่าวได้รับการขานรับจากฟรานซิส บรูค จากสำนักงานรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และตัวแทนของบริษัทพลังงานอเมริกันหลายแห่ง ขณะที่ภายในห้องประชุมมีกลุ่มผู้ประท้วงตะโกนค้านว่า “พวกคุณโกหก! ถ่านหินสะอาดไม่มีหรอก!”

การประชุมคู่ขนานครั้งนี้ซึ่งเป็นงานคู่ขนานงานเดียวที่อเมริกาเป็นเจ้าภาพ ระหว่างการเจรจาว่าด้วยโลกร้อนในปีนี้ ใช้ชื่อว่า “บทบาทในการบรรเทาปัญหาโลกร้อนของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและพลังงานนิวเคลียร์”

มีผู้คนมากมายทีเดียวรอคิวนานกว่าชั่วโมงเพื่อเข้าร่วมการประชุมนี้ โดยจำนวนคนที่ถอดใจมีมากกว่าพวกที่ได้เข้าไปในงานเสียอีก และขณะที่บนเวทีเริ่มต้นการนำเสนอ พงกผู้ประท้วงรวมตัวกันหน้าประตูชูกำปั้นและตะโกนว่า “ปล่อยไว้ใต้ดินเถอะ” ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงฟอสซิล

ภายในห้องประชุม นักเคลื่อนไหวที่เดือดเป็นไฟตะโกนขัดจังหวะการนำเสนอของแบร์รี เวิร์ธทิงตัน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมพลังงานสหรัฐฯ ที่เป็นตัวแทนของบริษัทและหน่วยงานรัฐบาลอเมริกัน

“เราเห็นความโลภของพวกคุณทะลุปรุโปร่ง พวกคุณกำลังฆ่าคนทั่วโลกเพื่อแลกกับรายได้จากถ่านหิน”

การประชุมคู่ขนานที่อเมริกาจัดขึ้นครั้งนี้ ถูกรุมประณามจากคนจำนวนมากที่เข้าร่วมการประชุมที่บอนน์ ซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับเรื่ององค์ประกอบสำหรับกฎกติกาในการดำเนินการตามข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่เกือบ 200 ประเทศให้การรับรองเมื่อปี 2015

เป้าหมายของข้อตกลงนี้คือ จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือ 1.5 องศาเซลเซียสถ้าทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากพายุรุนแรง ความแห้งแล้ง และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

ทว่า เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์กลับขวางโลกด้วยการประกาศนำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงนี้ ซึ่งมีเป้าหมายลดการพึ่งพิงถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่เป็นตัวการปัญหาโลกร้อน

อเมริกาจึงเป็นประเทศเดียวในโลกในขณะนี้ที่เลือกถอนตัวจากข้อตกลงปารีส

แบงก์สขยายความว่า การสานต่อความมุ่งมั่นของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในข้อตกลงปารีสเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอเมริกาลง 26-28% จากระดับในปี 2005 ภายในปี 2025 จะทำให้คนอเมริกันจำนวนมากตกงานและบ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ

แต่คาเรน โอเรนสไตน์ จากกลุ่มเฟรนด์ส ออฟ ดิ เอิร์ธ กล่าวหาว่า การประชุมคู่ขนานของอเมริกาครั้งนี้เป็นการตบหน้าประเทศอื่นๆ ที่เป็นภาคีข้อตกลงปารีส และว่า การกระทำของทรัมป์ฟ้องถึงการเพิกเฉยอย่างใจดำและอาจถึงขั้นความมุ่งร้ายต่อประชาชนในประเทศยากจนที่ชีวิตและการดำเนินชีวิตถูกคุกคาม บั่นทอน และในบางกรณีถูกทำลายจากผลกระทบร้ายแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์กและผู้แทนพิเศษของยูเอ็นสำหรับชุมชนเมืองและปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทวิตว่า การโปรโมตถ่านหินในการประชุมสุดยอดว่าด้วยโลกร้อนไม่ต่างจากการโปรโมตบุหรี่ในที่ประชุมมะเร็ง

นายกรัฐมนตรีแฟรงก์ ไบนิมารามา ของฟิจิ ที่เป็นประธานการประชุมการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศปีนี้ ขานรับว่า ทุกคนต่างรู้ดีว่าถ่านหินส่งผลอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เพียร์ส ฟอร์สเตอร์ ศาสตราจารย์ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ยืนยันว่า “ถ่านหินสะอาด” ไม่มีจริง และคนที่บอกว่า ถ่านหินยังมีอนาคตกำลังทำให้โลกตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างแท้จริง

ทั้งนี้คำว่า “ถ่านหินสะอาด” มักหมายถึงโรงงานไฟฟ้าที่สร้างมลพิษน้อยกว่าปกติหรือสารพิษที่ปล่อยออกมาถูก “กัก” ก่อนที่จะถึงชั้นบรรยากาศ

แต่เวิร์ธทิงตันยืนกรานว่า พลังงานฟอสซิลและนิวเคลียร์ยังมีบทบาทสำคัญ และแบงก์สรับลูกว่า พลังงานฟอสซิลที่สะอาดขึ้นมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาโลกร้อน