รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศวันนี้ (6 พ.ย.) ว่าจะผลักดันให้การค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเป็นไปอย่างเสรีและและสมดุลมากยิ่งขึ้น หลังจากที่อเมริกาเป็นฝ่าย “ขาดดุลการค้าอย่างมโหฬาร” มานานหลายสิบปี ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับมิตรเก่าแก่อย่างโตเกียว “ดียิ่งกว่าที่เคยเป็นมา”
ผู้นำสหรัฐฯ ได้เริ่มเดินสายทัวร์ 5 ประเทศเอเชียเป็นเวลา 12 วัน โดยประเด็นหลักๆ ที่คาดว่า ทรัมป์ จะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยนั้นมีทั้งเรื่องการค้า และมาตรการยับยั้งวิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ซึ่งเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ ทรัมป์ ได้กล่าวแสดง “ความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” หลังทราบข่าวเหตุกราดยิงที่รัฐเทกซัสเมื่อวานนี้ (5) ซึ่งทำให้ประชาชนที่ไปเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์เสียชีวิตถึง 26 ราย
ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ รู้สึกเศร้าเสียใจและเห็นใจผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการสังหารหมู่ครั้งนี้ แต่จะไม่ปรับเปลี่ยนกำหนดการทัวร์เอเชียตลอด 10 วันข้างหน้า ซึ่งยังรวมถึงการไปเยือนเกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ระหว่างการแสดงปาฐกถาต่อผู้นำธุรกิจญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในวันที่ 2 ของการเยือนแดนอาทิตย์อุทัย ทรัมป์ ระบุว่า “ญี่ปุ่นทำให้สหรัฐฯ เป็นฝ่ายขาดดุลการค้าอย่างมโหฬารมานานนับสิบๆ ปี”
ทรัมป์ กล่าวชื่นชมรัฐบาลญี่ปุ่นที่สั่งซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเขาบอกว่าเป็น “เครื่องมือทางทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” แต่ถึงกระนั้นก็ยังตัดพ้อว่า “รถยนต์ญี่ปุ่นหลายล้านคันถูกส่งเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯ แต่รถยนต์สัญชาติอเมริกันแทบไม่มีโอกาสเข้ามาตีตลาดญี่ปุ่นเลย”
“เราปรารถนาการค้าเสรีที่มีความสมดุลเท่าเทียม แต่เวลานี้การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นยังไม่เป็นไปอย่างเสรี และไม่ให้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมต่อทั้ง 2 ฝ่าย ผมรู้ว่ามันเป็นไปได้ และเราได้เริ่มกระบวนการนี้แล้ว” ทรัมป์กล่าว
“ผมไม่สงสัยเลยว่า เราจะทำได้สำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยแนวทางฉันมิตร”
ทรัมป์ และสุภาพสตรีหมายเลข 1 “เมลาเนีย” ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น ที่พระราชวังอิมพิเรียลในกรุงโตเกียว ก่อนที่จะร่วมรับประทานอาหารกลางวันและหารือกับนายกฯ อาเบะ
ทรัมป์ กล่าวกับผู้นำญี่ปุ่นว่า ความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในด้านการค้าและปัญหาเกาหลีเหนือ“คืบหน้าไปอย่างมาก” และวอชิงตันจะทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ดึงดูดการจ้างงาน การลงทุน และการขยายธุรกิจมากที่สุดในโลก
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าเกินดุลสหรัฐฯ อยู่ราวๆ 69,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 โดยสหรัฐฯ นั้นถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจากจีน ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นตลาดสินค้าส่งออกอันดับ 4 ของสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพยายามแก้ต่างว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าญี่ปุ่นน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก และจีนนั้นเป็นฝ่ายที่ทำให้อเมริกาเสียเปรียบการค้ามากกว่าเสียอีก
ในการประชุมด้านเศรษฐกิจระหว่างรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ แห่งสหรัฐฯ กับ ทาโร อาโสะ รัฐมนตรีคลังและรองนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถหาคลี่คลายปมขัดแย้งในเรื่องการค้าได้ และโตเกียวยังขอเลื่อนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ ออกไปก่อน
ทรัมป์ ยังเอ่ยพาดพิงถึงความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership - TPP) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่า “ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง” ซึ่งตนรู้ดีว่าผู้ฟังบางคนอาจจะยังไม่เห็นด้วย “แต่ผมเชื่อว่าแนวทางที่เราทำอยู่นี้จะช่วยให้การค้าเฟื่องฟูได้มากกว่า ภายใต้บริบทที่ซับซ้อนน้อยกว่า”
ทรัมป์ ประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจาก TPP ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. ขณะที่ญี่ปุ่นและอีก 10 รัฐภาคีที่เหลือยังคงเดินหน้าไปสู่การสร้างเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วแปซิฟิก แม้ไม่มีสหรัฐฯ ร่วมอยู่ด้วยก็ตาม
สหรัฐฯ ยังร้องเรียนเรื่องที่ญี่ปุ่นใช้กลไกกีดกันเนื้อวัวแช่แข็งที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยจะรีดภาษีเพิ่มหากปริมาณการนำเข้าในแต่ละไตรมาสเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วเกิน 17% ซึ่งในประเด็นนี้แหล่งข่าวเผยกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเสนอจะปรับแก้ระบบดังกล่าวเพื่อบรรเทาความไม่พอใจของวอชิงตัน