เอเจนซีส์ - รัฐบาลเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน (KRG) ยื่นข้อเสนอระงับผลประชามติแยกตัวเป็นเอกราชเอาไว้ก่อนในวันนี้ (25 ต.ค.) เพื่อยุติการสู้รบกับกองกำลังของรัฐบาลอิรักและคลี่คลายวิกฤตผ่านการเจรจา
เหตุปะทะเริ่มขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เมื่อกองกำลังของรัฐบาลแบกแดดจู่โจมเข้าชิงเมืองเคอร์คุก (Kirkuk) ซึ่งรุ่มรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน รวมถึงพื้นที่โดยรอบซึ่งพวกเคิร์ดยึดครองอยู่
ก่อนหน้านั้น รัฐบาลเคอร์ดิสถานได้จัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากอิรักเมื่อวันที่ 25 ก.ย.
“การสู้รบจะไม่นำไปสู่ชัยชนะสำหรับฝ่ายใดเลย มีแต่จะทำให้บ้านเมืองถูกทำลายราบคาบ” รัฐบาลท้องถิ่นเคอร์ดิสถาน ระบุในถ้อยแถลง
“การโจมตีและการเผชิญหน้าระหว่างทหารอิรักและเปชเมอร์กา (กองกำลังเคิร์ด) ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. นั้นจะนำไปสู่เหตุนองเลือดไม่จบสิ้น”
“เราขอยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลอิรัก ประชาคมอิรัก และนานาชาติ ดังนี้ : 1) ให้มีการหยุดยิงในทันที 2) ระงับผลของการทำประชามติไว้ก่อน และ 3) เริ่มต้นกระบวนการเจรจาแบบเปิดเผยกับรัฐบาลกลาง โดยยึดกฎหมายรัฐธรรมนูญอิรักเป็นพื้นฐาน”
ทางการอิรักเริ่มปรับสมดุลอำนาจทางภาคเหนือของประเทศ โดยส่งกองกำลังเข้าไปทำสงครามทวงคืนดินแดนจากพวกเคิร์ดซึ่งมีรัฐบาลปกครองตนเองใน 3 จังหวัด และยังขยายอิทธิพลครอบงำพื้นที่อื่นๆ ทางตอนเหนือของประเทศ
แบกแดดถือว่าการจัดประชามติแยกตัวของชาวเคิร์ดเมื่อวันที่ 25 ก.ย. “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และได้ตอบโต้โดยการยึดคืนเมืองเคอร์คุก รวมไปถึงแหล่งน้ำมันโดยรอบและดินแดนที่พวกนักรบเคิร์ดเพิ่งแย่งคืนมาจากกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส)
นายกรัฐมนตรี ไฮเดอร์ อัล-อาบาดี แห่งอิรักสั่งให้กองทัพทวงคืนพื้นที่พิพาททั้งหมด และให้จุดผ่านแดนที่เชื่อมต่อกับตุรกีซึ่งอยู่ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง
อาบาดี ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเคอร์ดิสถานประกาศให้ผลการทำประชามติ “เป็นโมฆะ” พร้อมเตือนว่าประชามติดังกล่าวจะ “บั่นทอนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างชาวอิรักและเคิร์ด และเป็นอันตรายต่อภูมิภาค”
ประชากรภาคเหนือของอิรักโหวตสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของเคอร์ดิสถานอย่างล้นหลาม โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่า พลเมืองทั้งที่เป็นชาวเคิร์ดและไม่ใช่เคิร์ดรวม 3.3 ล้านคนเห็นด้วยกับการแยกตัวถึงร้อยละ 92