เอเจนซีส์ - “สี จิ้นผิง” ผงาดขึ้นเป็นผู้นำทรงอำนาจที่สุดของจีน นับจากยุค “เหมา เจ๋อตง” หลังพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศบันทึกแนวคิดทางการเมืองของประธานาธิบดีคนปัจจุบันในธรรมนูญของพรรค ขณะที่นักวิเคราะห์ตะวันตกบางคนคาดสีอาจยืดเวลาการครองเก้าอี้หลังสิ้นสุดวาระในปี 2022
ความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์นี้เกิดขึ้นในวันอังคาร (24 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 ที่กินเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งในระหว่างการประชุมนี้ประธานาธิบดีสีประกาศว่าจะนำจีนเข้าสู่ “ยุคใหม่” แห่งอำนาจและอิทธิพลระดับโลก
ในพิธีปิดการประชุมที่จัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศว่า แนวคิดของสีเกี่ยวกับระบอบสังคมนิยมที่ผสมผสานกับคุณลักษณะพิเศษของคนจีนสำหรับยุคใหม่ได้รับการบันทึกลงในกฎบัตรของธรรมนูญของพรรค เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ นับจากสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นในปี 1949 มีเพียงประธานเหมาเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศบันทึกปรัชญาทางการเมืองที่เรียกว่า “แนวคิดเหมา” ในธรรมนูญของพรรค
สำหรับ "เติ้ง เสี่ยวผิง" ผู้ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจ ก็ได้รับเกียรตินี้เช่นกัน แต่หลังจากการอสัญกรรมไปแล้วในปี 1997
บิลล์ บิชอป ผู้ตีพิมพ์จดหมายข่าวชิโนซิสม์ว่าด้วยการเมืองจีน มองว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ตอกย้ำว่า สีมีอำนาจและเกียรติยศในระดับเดียวกับผู้ก่อตั้งประเทศ และกลายเป็นผู้นำที่ไม่สามารถโจมตีได้โดยสิ้นเชิง
จูดี้ บลานเชตต์ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองจีนจากกลุ่มวิจัยคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดในนิวยอร์ก ขานรับว่า เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับการสะสมอำนาจและความน่าเชื่อถือ รวมถึงความชอบธรรมภายในระบบเพื่อนำจีนไปสู่เส้นทางที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในบทความของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ระบุว่า การประโคมข่าวเกี่ยวกับผู้นำจีนบ่งชี้ว่า สีที่ขึ้นสู่ตำแหน่งในปี 2012 และมีกำหนดสิ้นสุดวาระการบริหารประเทศในปี 2022 จะคงอยู่ในอำนาจต่อหลังกำหนดเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ซูซาน เชิร์ก ผู้อำนวยการศูนย์จีนแห่งศตวรรษที่ 21 ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ซานดิเอโก แย้งว่า สไตล์การปกครองประเทศของสีและเหมาแตกต่างกัน โดยในสมัยของสีนั้น ประชาชนอกสั่นขวัญหายจากการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต และเธอจะไม่ตัดสินว่า ผู้นำปัจจุบันของจีนพยายามรับบทเผด็จการตัวจริงหรือไม่ จนกว่าคณะกรรมการกรมการเมืองจะประกาศรายชื่อสมาชิกใหม่ในวันพุธ (25 ต.ค.)
เชิร์ก อดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศยุคบิลล์ คลินตัน เสริมว่า ถ้ารายชื่อดังกล่าวมีว่าที่ผู้สืบทอดอำนาจอย่างน้อย 1 ใน 3 ได้แก่ หู ชุนหวา , เฉิน หมิ่นเอ่อ หรือจาง ชิ่งเหว่ย หมายความว่า สีเตรียมอำลาตำแหน่งตามกำหนดในปี 2022 แต่ถ้าไม่ปรากฏตัวผู้สืบทอดที่ชัดเจนก็เท่ากับว่า สีกำลังจะแหกกฎและเตรียมครองอำนาจในฐานะเผด็จการอย่างไม่มีกำหนด
ด้านบลานเชตต์เสริมว่า ความจงรักภักดีที่บรรดาตัวแทนเข้าประชุมแสดงออกต่อสีเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์ยอมอยู่ใต้อำนาจสีโดยดุษฎี และเป็นการมุ่งหน้าสู่การเมืองแบบใหม่ที่มียุคเหมาเป็นต้นแบบ
บิชอปแจงว่า มีสองปัจจัยที่ทำให้สีผงาดขึ้นเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีนคือ ความทะเยอทะยานของสีเอง ซึ่งเกิดในครอบครัวนักปฏิวัติและได้ยินได้ฟังตำนานการพลิกแพลงทางการเมืองของเหมาจนขึ้นใจ
ปัจจัยที่สองคือ ฉันทามติอย่างครอบคลุมภายในพรรคว่า พรรคต้องการผู้มีอำนาจสูงสุดเพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นการล่มสลายแบบโซเวียต เมื่อปี 2012 ก่อนที่สีจะขึ้นสู่อำนาจ บิชอปบอกว่า เหล่าชนชั้นสูงทางการเมืองของจีนเปรยกันว่า ถ้าสีไม่จัดการสะสางเรื่องต่างๆ พรรคคอมมิวนิสต์อาจถึงกาลอวสาน และย้ำว่า “สีคือความหวังสุดท้าย”
ในวันอังคาร สีตอกย้ำความคิดดังกล่าวด้วยการประกาศว่า ตนเป็นผู้นำภารกิจ “ศักดิ์สิทธิ์” ในการฟื้นสถานะจีนบนเวทีโลก
“ในยุคสมัยอันยิ่งใหญ่นี้ เราทั้งผองมีความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจมากขึ้น และยังรู้สึกถึงภาระอันหนักหน่วงของเรา เราต้องมีความกล้าหาญและเด็ดขาดในอันที่จะสร้างความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์โดยประชาชนจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นแล้วรุ่นเล่า การสร้างความสำเร็จที่เหมาะสมกับยุคสมัยอันยิ่งใหญ่นี้และเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสสวยงาม” สีกล่าว