xs
xsm
sm
md
lg

‘สี จิ้นผิง’คงจะแต่งตั้ง ‘หู ชุนหวา’เป็น‘ทายาท’ นักวิชาการตัวท็อปในเรื่องจีนบอก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดั๊ก สึรุโอกะ

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Brookings China scholar: Xi may anoint Hu Chunhua as successor
By Doug Tsuruoka
20/10/2017

‘เชง ลี’ ผู้ทรงความรู้ระดับท็อปคนหนึ่งของโลกในเรื่องเกี่ยวกับคณะผู้นำจีน บอกว่ามีโอกาสอยู่ 50-50 ที่ สี จิ้นผิง จะประกาศให้ หู ชุนหวา เลขาธิการพรรคสาขามณฑลกวางตุ้ง เป็นทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา ในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 19 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันเขาคาดหมายว่า หวัง ฉีซาน หัวหน้าการรณรงค์ปราบปรามคอร์รัปชั่น จะเคารพทำตามหลักเกณฑ์เรื่องวัยเกษียณอายุ และก้าวลงจากอำนาจในสมัชชาคราวนี้

เชง ลี (Cheng Li ชื่อของเขาในภาษาจีนคือ หลี่ เฉิง 李成) ผู้ทรงความรู้เรื่องเกี่ยวกับคณะผู้นำของจีน ซึ่งได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เชื่อว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง น่าจะประกาศคัดเลือกอย่างเป็นทางการให้ หู ชุนหวา (Hu Chunhua) วัย 54 ปี ซึ่งเวลานี้เป็นเลขาธิการพรรคสาขามณฑลกวางตุ้ง เป็นทายาทผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากตัวเขา ในระหว่างการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 ที่กำลังดำเนินอยู่ในกรุงปักกิ่งขณะนี้

ลี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของศูนย์จีน จอห์น แอล. ธอร์นตัน (John L. Thornton China Center) ที่สังกัดอยู่กับสถาบันบรูกกิ้งส์ (Brookings Institution) องค์การคลังสมองชื่อดังในกรุงวอชิงตัน ยังเชื่อด้วยว่า หวัง ฉีซาน (Wang Qishan) วัย 69 ปี ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ดูแลงานต่อต้านปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นให้กับสี จะก้าวลงจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความเคารพ “บรรทัดฐาน” ในเรื่องวัยเกษียณอายุสำหรับผู้นำอาวุโสของพรรคที่จำกัดเอาไว้ไม่ให้เกิน 68 ปี และเขาผ่านพ้นขีดอายุดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว

ภารกิจหลักของการประชุมสมัชชาพรรคที่กินเวลา 1 สัปดาห์คราวนี้ ได้แก่การคัดเลือกตัวบุคคลซึ่งจะเข้าเป็นสมาชิกของคณะกรรมการประจำกรมการเมือง (Politburo Standing Committee หรือ PSC) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เป็นพรรคผู้ปกครองแผ่นดินจีนอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ สี เดินหน้าเข้าสู่สมัยที่ 2 แห่งวาระครั้งละ 5 ปีในการเป็นผู้นำของจีนของเขา ทั้งนี้ทั้งนั้น การจัดวางตัวคณะผู้นำระดับสูงเช่นนี้ จะส่งผลเป็นการกำหนดฝีก้าวสำหรับความพยายามในการปฏิรูปทั้งทางเศรษฐกิจ, การเมือง, วัฒนธรรม, การทหาร, และด้านอื่นๆ ของแดนมังกรไปด้วย โดยที่ สี ประกาศก้องว่า เรากำลังมาถึง “ยุคใหม่” ในการพัฒนาของจีนแล้ว ขณะกล่าวรายงานเปิดการประชุมครั้งสำคัญยิ่งนี้เมื่อวันพุธที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา

ลี ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่ถือกำเนิดในเมืองเซี่ยงไฮ้ มีความชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับการผลัดใบเปลี่ยนรุ่นในคณะผู้นำของจีน โดยที่สามารถยึดกุมเอาไว้ได้อย่างละเอียดประณีต ในเรื่องบุคลิกภาพและพลวัตต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในการประชุมสมัชชาที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ผลงานล่าสุดของเขา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://(https//www.brookings.edu/interactives/chinas-new-politburo-standing-committee/) คือ บทวิเคราะห์เชิงชีวประวัติของผู้ที่เป็นตัวเก็งแถวหน้า 12 คนซึ่งอาจจะได้ขึ้นนั่งในคณะกรรมการประจำกรมการเมืองชุดใหม่อันทรงอำนาจและทรงความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้จำนวนสมาชิกใน PSC นี้ไม่ได้ตายตัว ในอดีตที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนระหว่าง 5 หรือ 7 หรือกระทั่ง 9 คน

ลี ได้พูดจากับเอชียไทมส์เกี่ยวกับสิ่งที่น่าจะบังเกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนคราวนี้

สีจะแต่งตั้งผู้ที่จะเป็นทายาทของเขาในสมัชชาพรรคคราวนี้เลยไหม และใครที่จะได้เป็น?

ผมคิดว่าหนึ่งในผู้ที่น่าจะมีโอกาสสูงมากในการเป็นทายาท (ของสี) จะเป็น (เลขาธิการพรรคสาขากวางตุ้ง) หู ชุนหวา

สี จิ้นผิงสามารถที่จะจัดการกับ (ประเด็น) เรื่องนี้ด้วยวิธีการต่างๆ หลายอย่างทีเดียว หนึ่งในนั้นคือเขาสามารถที่จะลดขนาดจำนวนของคณะกรรมการประจำกรมการเมืองจากที่มีอยู่ 7 คนในเวลานี้ให้เหลือ 5 คน วัตถุประสงค์หลักของการคงจำนวนอยู่ที่ 5 คนก็คือการไม่ปล่อยให้คนรุ่นนั้น (รุ่นถัดไป) เข้ามาอยู่ในองค์กรนี้ – ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็จะเป็นการรักษาให้ (ทุกๆ คนที่จะเป็นหน้าใหม่ซึ่งได้รับแต่งตั้งเข้าอยู่ใน PSC คราวนี้) มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้น เขาก็สามารถที่จะชะลอกระบวนการเลือกสรรทายาทออกไป ... สีสามารถโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมพวกผู้กุมอำนาจในพรรคว่า โมเดลที่ผ่านมาซึ่งให้เวลา 10 ปีสำหรับผู้นำรุ่นหนึ่งๆ (ในการครองอำนาจ) และให้เวลา 5 ปีสำหรับการระบุตัวผู้ที่จะเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งคนถัดไปนั้น เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างจำกัดแข็งตัวไปหน่อย และอาจมีศักยภาพที่จะกลายเป็นการบ่อนทำลายอำนาจของผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน หาก สี เลือกทำแบบนี้ย่อมหมายความว่า เขาอาจเลือกที่จะลงมือ (ตัดสิน) เรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งนี้

แต่ยังมีโอกาสเช่นกันที่ สี จะไม่ประกาศให้ หู เป็นทายาทของเขาในสมัชชาครั้งนี้ก็ได้ โอกาสยังอยู่ที่ราวๆ 50-50 ... นอกจากนั้นยังมีคนที่อาจจะเข้ามาเป็นคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน ซึ่งทำให้เรื่องผู้เป็นทายาทของ สี ยังดูคลุมเครือไม่แน่นอน ... หนึ่งในนั้นคือ เฉิน หมิ่นเอ่อ (Chen Min’er) เลขาธิการพรรคสาขานครฉงชิ่งคนปัจจุบัน ผมยังคงคิดว่าอาจจะมีการประนีประนอมกันในระดับหนึ่งขึ้นมา เพื่อเห็นแก่ความสามัคคีเป็นเอกภาพของพรรค แต่การประนีประนอมนี่จะมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ทราบ เราควรที่จะรู้คำตอบในอีกไม่ถึงสัปดาห์ข้างหน้า

คุณคาดหมายเอาไว้หรือเปล่าว่า หวัง ฉีซาน ผู้เป็นหน้าเป็นตาในการรณรงค์ปราบปรามการคอร์รัปชั่นของ สี จะได้อยู่ต่อ, ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง, หรือว่าเขาจะเกษียณอายุ?

ความคิดเห็นส่วนตัวของผมก็คือ หวัง ฉีซาน จะก้าวลงจากตำแหน่ง ไม่ใช่เพราะกำลังถูกกดดันผลักไส แต่ค่อนข้างเป็นเรื่องการเคารพเดินตามบรรทัดฐาน (ข้อกำหนดที่ไม่ได้มีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรแต่มีการปฏิบัติตามมาหลายสิบปีแล้ว เกี่ยวกับวัยเกษียณอายุของพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรค) หวังนั้นเป็นนักการเมืองที่มีความสามารถสูงทีเดียว เขาเข้าอกเข้าใจดีว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้เพื่อรักษามรดกที่เขาจะทิ้งเอาไว้ และเพื่อให้เป็นที่แน่ใจได้ว่าพวกคนที่อยู่ในอุปถัมภ์ของเขาจะได้รับตำแหน่งดีๆ ... แต่มันก็ยังไมใช่ (แน่นอน) 100% นะครับ

คุณคาดหมายที่จะได้เห็นผลสรุปหรือพัฒนาการสำคัญๆ อะไรบ้างจากสมัชชาพรรคครั้งที่ 19 นี้?

โดยพื้นฐานเลยเรากำลังจับตาดูเรื่องใหญ่ๆ 3 ด้านด้วยกัน เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องที่ 3 –นั่นคือการจัดวางบุคลากรของพรรค ขณะที่สำคัญน้อยที่สุดคือเรื่องแรก

เรื่องแรกนี่คือการกล่าวรายงานของ สี จิ้นผิง และของ หวัง ฉีซาน ซึ่งเป็นการสรุปสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จมา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้นไปอีก

เมื่อพิจารณาโดยอิงอยู่กับการกล่าวรายงาน (เมื่อวันพุธ) ของสี แล้ว แน่นอนทีเดียวว่าเขากำลังกล่าวอ้างว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เขาใช้ (ตัวอย่างของ) เรื่อง “4 ยิ่งใหญ่” ( Four Greats ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chinadaily.com.cn/opinion/2017-10/20/content_33476292.htm) ในคำกล่าวรายงานของเขา มานิยามจำกัดความรอบระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยที่มีทั้งการอธิบายให้เหตุผลแก้ต่างบางเรื่องบางอย่าง และการชี้ประเด็นอันหนักแน่นสมเหตุสมผล

[สำหรับเรื่องที่ 2] เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปต่างๆ ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา สีได้เปิดการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่โตและกว้างขวางมาก ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว มันเป็นสิ่งที่รักษาพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอาไว้จริงๆ และช่วยให้พรรคได้รับความเชื่อมั่นจากสาธารณชนกลับคืนมาอีกครั้ง มีสมาชิกของคณะกรรมการกลางพรรคจำนวน 10% ทีเดียวที่ถูกกำจัดกวาดล้างออกไป –นี่ยังไม่ได้ครอบคลุมถึงพวกผู้นำที่เกษียณอายุไปแล้วนะ นี่ถือเป็นสิ่งที่โดดเด่นเตะตาเป็นอย่างมาก อย่างที่ตัวสีเองชี้เอาไว้ เมื่อสัก 8 ถึง 10 ปีก่อนหน้านี้ สิ่งที่ประชาชนจีนเกลียดชังมากที่สุดก็คือการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ในระยะสองสามปีหลังมานี้ กลับแสดงให้เห็นว่าเรื่องหลักที่เป็นความสนใจห่วงกังวลของสาธารณชนชาวจีนไม่ใช่เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม, ความปลอดภัยด้านอาหาร, และประเด็นอื่นๆ มากกว่า

การปฏิรูปที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การทหารของจีน ผมได้เขียนเกี่ยวกับหัวข้อนี้เอาไว้อย่างละเอียดกว้างขวางแล้ว (ดูเพิ่มเติมที่ https://www.brookings.edu/blog/order-from-chaos/2017/10/10/why-chinas-military-facelift-ahead-of-the-party-congress-could-be-a-sign-of-bigger-changes/) นี่เป็นการปฏิรูปซึ่งแม้กระทั่ง (อดีตผู้นำสูงสุดที่ล่วงลับไปแล้ว) เติ้ง เสี่ยวผิง ก็ยังไม่สามารถทำได้ ทว่า สี กระทำสำเร็จโดยพื้นฐานแล้ว

สีทำอะไรไปบ้างในเรื่องการทหาร?

สิ่งที่ สี ทำมี 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกเลย เขาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการทหารของจีนจากที่เคยยึดโมเดลรัสเซีย ซึ่งเน้นหนักเรื่องกองกำลังภาคพื้นดิน มาเป็นการเน้นหนักที่การปฏิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้ความสำคัญมากขึ้นแก่กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ, และกองกำลังทางยุทธศาสตร์ต่างๆ

ในประการที่ 2 เขาลดทอนความสำคัญของ 4 กรมใหญ่ ในฝ่ายทหาร(กรมใหญ่การเมือง, กรมใหญ่เสนาธิการ, กรมใหญ่ส่งกำลังบำรุง, กรมใหญ่สรรพาวุธ) เมื่อก่อน 4 กรมใหญ่นี้มีความโน้มเอียงที่จะบ่อนทำลายอำนาจของคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (Central Military Commission หรือ CMC) แต่ในเวลานี้ 4 กรมใหญ่เหล่านี้ถูกปรับให้กลายเป็น 15 กรมใน CMC ทำให้ สี มีอำนาจควบคุมโดยตรงต่อกองกำลังเหล่านี้ในยุทธบริเวณการปฏิบัติการต่างๆ เรื่องที่ 3 ซึ่งสีได้ทำเกี่ยวกับด้านการทหาร คือ การเลือกเลื่อนนายทหารรุ่นหนุ่มๆ เข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ

ยังมีการปฏิรูปอย่างอื่นๆ อีกไหม?

สีได้จัดทำแผนการเกี่ยวกับการปฏิรูปต่างๆ ในเรื่องตลาด มีบางคนบอกว่า สี ไม่คิดที่จะนำเอาการปฏิรูปเหล่านี้มาใช้ปฏิบัติหรอก แต่ผมอยากจะบอกว่านี่เป็นเพราะเรื่องที่เขาให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ยังคงอยู่ในแวดวงอื่นๆ อยู่ กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังคงก่อให้เกิดผลต่างๆ ที่ชัดเจนออกมา การบริโภคภายในประเทศกำลังสูงขึ้น ภาคบริการก็สูงขึ้น และเรื่องนวัตกรรมก็เริ่มที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจกันจริงๆ แล้ว

ยังมีผลงานด้านนโยบายการต่างประเทศอีกด้วย สีสร้างผลงานด้านนี้ใน 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ผลงานโดยกระทำผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road) และผลงานจากความพยายามในการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยการธำรงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกประเทศเพื่อนบ้าน มีบางคนบอกว่าเรื่องหลังนี้ไม่ประสบความสำเร็จหรอก แต่ผมคิดว่าพวกประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างยินดีต้อนรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศจีนนะ แล้วในเรื่องการต่างประเทศนี่ สียังได้สร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบใหม่ขึ้นมา --โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐฯ สีควรที่จะได้รับเครดิตนะครับเมื่อดูจากข้อเท็จจริงที่ว่า แม้กระทั่งในช่วงเดือนแรกๆ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่ง ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯก็ยังคงอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้ยังคงอยู่ใต้การควบคุมนะครับ ไม่ได้หลุดไม่ได้ควบคุมกันไม่อยู่

ดังนั้น ที่ว่านี่แหละครับถือเป็นความสำเร็จ

สำหรับเรื่องใหญ่เรื่องที่ 3 ล่ะครับ มีอะไรบ้าง?

เรื่องใหญ่เรื่องที่ 3 ซึ่งสำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านบุคลากรสำคัญๆ จากสมัชชาคราวนี้ รวมทั้งในเรื่องที่ว่า หวัง ฉีซาน จะยังอยู่ต่อหรือไม่ และจะมีการระบุตัวผู้ที่จะเป็นทายาทของ สี หรือเปล่า –ซึ่งเป็นเรื่องที่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาแล้ว

แล้วสีกำลังบ่งบอกส่อแสดงให้เห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ในอนาคตของเขาอย่างไรกันบ้าง ?

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่สีเรียกขานบรรยายว่าเป็น “ยุคใหม่” (ในการกล่าวรายงานเมื่อวันพุธของเขา) เขากล่าวว่าความตึงเครียดหรือความท้าทายก่อนหน้านี้สำหรับประเทศจีน ในช่วงปีของ เติ้ง เสี่ยวผิง นั้น คือ ประชาชนจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงข้อจำกัดต่างๆ ของวิถีทางการผลิตที่ล้าหลัง แต่เวลานี้จีนไม่ได้ล้าหลังแล้ว จีนได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา ขณะที่เรื่องนวัตกรรมและโมเดลทางธุรกิจก็กำลังเป็นสิ่งที่น่าจับตามองจริงๆ และอาจจะกำลังนำหน้าประเทศอื่นๆ จำนวนมาก รวมทั้งสหรัฐฯด้วย โดยเฉพาะเมื่อพูดกันในแง่โมเดลทางธุรกิจ

สียังใช้คีย์เวิร์ดใหม่ๆ 2 คำในการกล่าวรายงานของเขา นั่นคือ “ความไม่สมดุล” (unbalanced) และ “ความไม่เหมาะสม” (inadequate) นี่ทำให้มีช่องทางเยอะแยะมากมายเลยสำหรับการคิดจินตนาการทีเดียว มันอาจจะเป็นการอ้างอิงถึงความไม่สมดุลระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของจีน ระหว่างภูมิภาคที่เป็นดินแดนตอนในกับภูมิภาคที่เป็นพื้นที่ชายฝั่ง ระหว่างตัวเมืองกับเขตชนบท มันอาจจะเป็นการอ้างอิงถึงความแตกต่างของกลุ่มทางสังคมเศรษฐกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลาย แล้วมันยังอาจหมายถึงมิติระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการเปลี่ยนแปลงการเมืองสังคม --ซึ่งด้านหนึ่งอยู่ห่างอยู่ล้าหลังอีกด้านหนึ่งอย่างไม่เหมาะสม มันยังอาจหมายถึงพัฒนาการภายในประเทศของจีนกับอิทธิพลในต่างแดนของจีนก็ยังได้ ดังนั้นนี่จึงทำให้มีช่องทางอยู่อย่างมากมายสำหรับการดำเนินการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก

ยังมีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อะไรอีกบ้างซึ่งอาจบังเกิดขึ้นจากสมัชชาพรรคครั้งนี้

เรายังควรที่จะต้องดูการเปลี่ยนแปลงในทางสถาบัน ซึ่งก็รวมถึงการจัดตั้ง “คณะกรรมการกำกับตรวจสอบแห่งชาติ” (National Supervision Commission) ขึ้นมา ทั้งในระดับรัฐและในระดับพรรค แล้วก็รวมทั้งการจัดตั้ง “คณะกรรมการเสถียรภาพทางการเงินแห่งชาติ” (National Financial Stability Commission) ด้วย การเปลี่ยนแปลงในทางสถาบันเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องให้ความสนใจ เช่นเดียวกับการแก้ไขบางอย่างบางประการในธรรมนูญของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับแนวความคิดด้านธรรมาภิบาลของสี

สมัชชาครั้งนี้จะส่งผลกระทบกระทเอนอย่างไรต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ? ความสัมพันธ์นี้จะกระเตื้องดีขึ้นไหม? ด้านไหนที่จะถูกกระทบมากที่สุด?

ยังเร็วเกินไปหน่อยที่จะพูดเรื่องนี้นะครับ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดที่จะเยือนจีนในเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าอยู่แล้ว และในทันทีที่สมัชชาพรรคครั้งที่ 19 เสร็จสิ้นลง สีก็จะต้อนรับคณะผู้แทนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้นำภาคธุรกิจและนักการเมืองเกษียณอายุจากสหรัฐฯ นี่ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นอย่างแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาให้ความสำคัญอย่างลึกซึ้งแก่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และต้องการทำให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์นี้กำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์ก็แน่นอนเลยว่าจะต้องคอยกดดันในประเด็นอย่างเช่น การเข้าถึงตลาด, การค้าที่เป็นธรรม, การเปิดเสรีทางการเงิน หรือการเปิดประตูภาคการเงิน ทั้งหมดเหล่านี้ต่างถูกเอ่ยเอาไว้หมดในการกล่าวรายงานของสี ดังนั้นเขาจะยังคงเน้นหนักประเด็นเหล่านี้ต่อไป

มีร่องรอยบ่งบอกอะไรบ้างหรือไม่ว่าเท่าที่สมัชชาดำเนินมาจนถึงตอนนี้ สีอยู่ในฐานะอย่างไรและเป็นยังไงบ้าง

ข้อความหนึ่งที่ส่งออกมาอย่างชัดเจนมากๆ คือ สี จิ้นผิง อยู่ในฐานะที่ดีมาก และเขากระชับอำนาจของเขาให้มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ผมไม่ต้องการไปไกลเกินไปจนถึงขนาดพูดว่าเขาได้หวนกลับไปสู่การมี “ฐานอำนาจแบบบุรุษเหล็กสุดแกร่ง” (strongman power base) แล้ว ถ้าหากเขามีฐานเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก้อ เราก็คงไม่ต้องคอยใส่ใจติดตามกันหรอกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในคณะกรรมการประจำของกรมการเมือง นี่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย คณะผู้นำของจีนนั้น ส่วนใหญ่ทีเดียวยังคงเป็นเรื่องการทำงานกันเป็นทีม --ถึงแม้ว่า สีจะมีอำนาจมากกว่าผู้นำคนอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ดั๊ก สึรุโอกะ เป็นเป็นบรรณาธิการประจำกองบรรณาธิการ (Editor-at-Large) ของเอเชียไทมส์
กำลังโหลดความคิดเห็น