บีบีซีนิวส์ - แฟ้มเอกสารที่เคยเป็นข้อมูลลับแฉอเมริกาปิดปากเงียบสนิททั้งที่รู้เต็มอกว่า เหยื่อหลายแสนคน “ถูกส่งไปฆ่า” ระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างทางการเมืองในอินโดนีเซียช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งเลวร้ายที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 20
เอกสารที่มีการเปิดเผยล่าสุดฟ้องว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันในแดนอิเหนาส่งรายงานทางการทูตถึงรัฐบาลสหรัฐฯบอกเล่า “การสังหารหมู่” และ “การฆ่าไม่เลือกหน้า” ของกองทัพอินโดนีเซียระหว่างการกวาดล้างคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายระหว่างปี 1965-1966 ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 3 ล้านคน
เหตุการณ์สังหารหมู่ดังกล่าว ซึ่งยังเป็นประเด็นต้องห้ามในอินโดนีเซียจนถึงวันนี้ บังเกิดขึ้นหลังจากมีการกล่าวหาว่า พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียสังหารนายพล 6 คน และพยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจในช่วงปลายเดือนกันยายน 1965 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามเย็นระอุถึงขีดสุด เช่นเดียวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ ฝ่ายทหาร และกลุ่มอิสลามในแดนอิเหนา
ห้าทศวรรษต่อมา เหตุการณ์ป่าเถื่อนเลวร้ายครั้งนั้นได้รับการตีแผ่จากการเปิดเผยเนื้อหาในรายงานของเจ้าหน้าที่อเมริกัน
โทรเลขรายงานฉบับหนึ่งจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในชวาตะวันออก ลงวันที่ 28 ธันวาคม 1965 ระบุว่า “เหยื่อถูกนำตัวจากย่านที่มีคนอยู่หนาแน่นไปฆ่าและฝังศพไว้ แทนการโยนทิ้งลงแม่น้ำแบบที่เคยทำมา”
เนื้อความในโทรเลขยังระบุว่า นักโทษบางคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ถูกนำตัวไปให้พลเรือนสังหารหมู่
เอกสารอีกฉบับที่เลขานุการเอกของสถานทูตสหรัฐฯ เก็บรวบรวมและลงวันที่ 17 ธันวาคม 1965 ระบุรายชื่อผู้นำคอมมิวนิสต์ทั่วอินโดนีเซียที่ถูกจับกุมหรือสังหาร
โทรเลขอีกฉบับที่ส่งจากสถานกงสุลอเมริกันในเมืองเมดาน บนเกาะสุมาตรา ระบุว่า พวกนักการศาสนาของมูฮัมมาดียะฮ์ ซึ่งเป็นองค์กรอิสลามนิกายสุหนี่ ป่าวประกาศกับประชาชนว่า การฆ่าผู้ต้องสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์เป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมและ “ไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่” ซึ่งโทรเลขดังกล่าวตีความว่า เป็น “การอนุญาตล่าสังหารอย่างกว้างขวาง”
นอกจากนี้ยังมีโทรเลขอีกฉบับตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนไม่น้อยถูกกลุ่มยุวชนของกลุ่มนะห์ดาตุล อุลามะ สังหารจากความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว
แบรด ซิมป์สัน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการอินโดนีเซีย แอนด์ อีสต์ ติมอร์ ด็อกกิวเมนเตชัน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้มีการเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ กล่าวว่า เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างละเอียดว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันรับรู้ว่า มีคนมากมายถูกฆ่า แต่รัฐบาลในวอชิงตันขณะนั้นกลับเพิกเฉย
แอนเดรียส์ ฮาร์โซโน นักวิจัยของกลุ่มฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ขานรับว่า การวิจัยที่ครอบคลุมของตนพบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ สมัยนั้นไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียเลย
ซิมป์สันยังบอกอีกว่า คนมากมายในอินโดนีเซียอยากรู้ความจริง หลังจากอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มานานหลายปี
เอกสารที่เคยเป็นข้อมูลลับ 39 ฉบับเหล่านี้เก็บรวบรวมจากแฟ้มข้อมูลต่างๆ บันทึกประจำวัน และบันทึกความจำของสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันในจาการ์ตาระหว่างปี 1964-1968 และได้รับการเผยแพร่โดยศูนย์การเผยแพร่เอกสารข้อมูลที่พ้นจากชั้นความลับแล้ว ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดองค์การบริหารจดหมายเหตุและบันทึกแห่งชาติของรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนั้นปลายปีนี้ยังอาจมีการเผยแพร่เอกสารเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงแฟ้มเอกสารของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)
พล.ท.เอกัส วิดโจโจ บุตรชายของ 1 ใน 6 นายพลที่เชื่อว่า ถูกคอมมิวนิสต์ฆ่าในช่วงปีดังกล่าว ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธข้อมูลในเอกสารที่ถูกนำมาเปิดเผย ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่ระบุว่า ชนกลุ่มน้อยชาวจีนเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกจ้องเข่นฆ่าและทำลายทรัพย์สิน
อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่า อินโดนีเซียจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการบอกเล่าข้อเท็จจริง เพื่อรับรู้และทำความเข้าใจความผิดพลาดที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมร้ายแรงในอดีตอย่างสันติและภายใต้บริบทของอินโดนีเซียในปัจจุบัน เพื่อเยียวยาบาดแผล ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำแผลเก่า
วิดโจโจยอมรับว่า สังคมอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงกองทัพ ไม่พร้อมให้มีการถกเถียงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
ทั้งนี้ ความพยายามจัดสัมมนาในวาระครบรอบการสังหารหมู่เมื่อเดือนที่แล้วต้องล้มเลิกลงหลังเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงจากกลุ่มฝ่ายขวา ขณะที่ “ดิ แอกต์ ออฟ คิลลิ่ง” สารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เมื่อปี 2012 เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกห้ามฉายในแดนอิเหนา