xs
xsm
sm
md
lg

กรณีอื้อฉาว ‘โกเบ สตีล’ กระหน่ำใส่นายกฯอาเบะ

เผยแพร่:   โดย: วิลเลียม เพเซค

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Kobe Steel to clobber Abe?
By William Pesek
12/10/2017

กรณีอื้อฉาวบริษัทโกเบ สตีล ปลอมแปลงข้อมูลคุณภาพผลิตภัณฑ์โลหะของตน อาจจะกลายเป็น “สนามรบแห่งความเพลี่ยงพล้ำปราชัย” สำหรับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แต่เป็นสิ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่นโยบายมุ่งผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังของผู้ว่าการหญิงแห่งกรุงโตเกียว ยุริโกะ โคะอิเกะ ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 22 ตุลาคมนี้

ชาวญี่ปุ่นเป็นพวกที่รักนิยมพิพิธภัณฑ์ หากเดินทางไปทั่วๆ ประเทศนี้ คุณจะสามารถค้นพบแกลเลอรีตั้งแสดงรถไฟ, บะหมี่ราเม็ง, แกงกะหรี่, หุ่นยนต์, เซ็กซ์, การ์ตูนมังงะ, และห้องน้ำ ฯลฯ ตอนนี้อาจจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ “หอแห่งความอายสำหรับภาคบรรษัทญี่ปุ่น” (Japan’s Corporate Hall of Shame) ขึ้นมา --พวกบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นไอคอนของวงการธุรกิจทั้งหลาย ซึ่งกระทำเรื่องที่แย่ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ขณะก้าวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งควรที่จะเป็นโครงสร้างอันใหญ่โตกว้างขวางขนาดสนามบินทีเดียวนั้น คุณจะได้พบกับห้องนิทรรศการเทปโก (Tepco) นิทรรศการส่วนนี้เป็นการมอบเกียรติยศให้แก่ เทปโก หรือชื่อเต็มๆ ว่า บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ คอมพานี (Tokyo Electric Power Co.,) ซึ่งความเย่อหยิ่งยโสและการไร้ความสามารถทำให้ท่านผู้ชมทั้งหลายต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ฟูกูชิมะปี 2011 (2011 Fukushima nuclear crisis) หนึ่งในวิกฤตการณ์ที่จริงๆ แล้วยังไม่สามารถถือว่ายุติปิดฉาก เพราะในสัปดาห์นี้เอง ศาลชั้นต้นในจังหวัดฟูกูชิมะเพิ่งตัดสินว่าทั้งเทปโกและรัฐบาลญี่ปุ่นต้องมีความรับผิด สำหรับความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติคราวนี้

ถัดไป ผู้เข้าชมจะได้เข้าสู่ห้อง ทานากะ คอร์ป (Takata Corp) ซึ่งจัดแสดงถุงลมนิรภัยหลายหลากของบริษัทที่เกิดการระเบิดจนทำให้เกิดกรณีผู้อยู่ในรถยนต์เสียชีวิต

ต่อจากนั้น ยังมีส่วนนิทรรศการว่าด้วยการแต่งบัญชีของบริษัทโตชิบา (Toshiba), ห้องบริษัทโอลิมปัส (Olympus) ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องการทำให้พวกผู้บริหารที่เป็นคนต่างชาติต้องปิดปากเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลต่างๆ, ส่วนของบริษัทชาร์ป (Sharp) ที่ปิดบังภาระหนี้สิ้นเอาไว้ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหาควบรวมกิจการบริษัทอื่น, หอใหญ่สำหรับเดนสึ (Dentsu) ว่าด้วยลูกจ้างพนักงานที่ต้องทำงานหนักหนาสาหัสจนกระทั่งเสียชีวิต, ส่วนพื้นที่ของนิสสัน (Nissan) กำลังแสดงให้เห็นผู้ตรวจสอบโรงงานที่ขาดคุณสมบัติไร้คุณภาพ, และตลาดปลาสึกิชิ (Tsukiji) ซึ่งที่ตั้งใหม่ประสบปัญหามีสารพิษตกค้างในชั้นดิน จนกระทั่งย้ายออกจากที่เก่าซึ่งทรุดโทรมไม่ได้เสียที

สำหรับสิ่งดึงดูดความสนใจล่าสุดนั้น ย่อมได้แก่ กรณีอื้อฉาวปลอมแปลงตัวเลขข้อมูลผลิตภัณฑ์ของบริษัทโกเบ สตีล (Kobe Steel)

อะไรต่างๆ ดูจะกำลังมีความสาหัสร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกที จากการที่เรื่องการควบคุมคุณภาพกำลังหวนกลับมาคิดบัญชีเอากับบริษัทญี่ปุ่นทั้งหลาย หลังจากภาคบรรษัทญี่ปุ่น หรือที่นิยมเรียกขานกันว่า เจแปน อิงก์ (Japan Inc.) ได้พยายามเก็บกวาดปัญหาเหล่านี้ซุกซ่อนเอาไว้ใต้เสื่อทาทามิ มานานแสนนาน

นโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้นำทางการทหารและทางการเมืองชื่อก้องชาวฝรั่งเศส พ่ายแพ้อย่างยับเยินในการรบครั้งสุดท้ายของเขาที่สมรภูมิวอเตอร์ลู (waterloo) จนทำให้ชื่อเมืองเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นคำที่หมายถึงการเพลี่ยงพล้ำปราชัยครั้งชี้เป็นชี้ตาย กรณีอื้อฉาวโกเบ สตีล อาจจะเป็นเสมือนกับ “วอเตอร์ลูทางการเงิน” สำหรับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้หมั่นพร่ำสาธยายเรื่องต้องปรับปรุงยกระดับด้านบรรษัทภิบาลของญี่ปุ่นให้ทันสมัย โดยที่ในทางตรงกันข้าม มันย่อมจะกลายเป็นสิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้แก่นโยบายมุ่งผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังของผู้ว่าการหญิงแห่งกรุงโตเกียว ยุริโกะ โคะอิเกะ (Yuriko Koike) ซึ่ง “พรรคแห่งความหวัง” (Party of Hope) พรรคการเมืองใหม่เอี่ยมของเธอ กำลังท้าทายต่อสู้กับ “พรรคประชาธิปไตยเสรี” (ลิเบอรัล เดโมเครติก ปาร์ตี้ หรือแอลดีพี) ของอาเบะ ในการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งกำหนดมีขึ้นวันที่ 22 ตุลาคมนี้

แน่นอนล่ะ อาเบะได้ใช้ความพยายามมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ที่จะทำให้วิธีปฏิบัติต่างๆ ของคณะกรรมการบริหารบริษัทและฝ่ายบริหารบริษัทในภาคธุรกิจของญี่ปุ่น มีลักษณะแบบสากลเสียที

เขานำเอา หลักปฏิบัติสำหรับพวกที่ดูแลสินทรัพย์ของผู้อื่นอย่างนักลงทุนสถาบัน แบบที่อังกฤษใช้อยู่โดยเรียกว่า stewardship code เข้ามาใช้ในญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นให้เหล่าซีอีโอทั้งหลายต้องเข้มงวดกวดขันในการทำงานและการปฏิบัติตน นอกจากนั้นเขายังส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ แต่งตั้งบุคคลภายนอกเข้ามานั่งในคณะกรรมการบริษัทของบริษัทมากขึ้น รวมทั้งต้องให้ความสำคัญแก่การทำให้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (return on equity) เพิ่มสูงขึ้น

แต่ปัญหามีอยู่ว่า การรณรงค์ในเรื่องเหล่านี้ของอาเบะส่วนใหญ่แล้วอยู่ในรูปของการเรียกร้องให้สมัครใจทำกันเอง ไม่ได้มีผลบังคับผูกพันตามกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งซึ่งพวกบิ๊กบอสที่มีเส้นสายทางการเมืองเข้มแข็งสามารถที่จะหลบหลีกเลี่ยงหนีได้อย่างไม่ยากเย็น

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ โกเบ สตีล กำลังได้รับความสนอกสนใจมากขนาดนี้ –นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าอาเบะเคยทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งนี้ในช่วงระหว่างปี 1979 ถึง 1982 แล้ว— เป็นเพราะพวกโรงงานผู้ผลิตและผู้ซื้อผลิตภัณฑ์จำพวกรถยนต์, เครื่องบิน, และรถไฟหัวกระสุน รวมทั้งใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในสายโซ่อุปทานของทั่วโลก (global supply chain) ตอนนี้ต่างต้องสงสัยข้องใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและความพึ่งพาอาศัยได้ของอลูมิเนียม, ทองแดง, และโลหะอื่นๆ ซึ่งใช้อยู่ในผลิตภัณฑ์เหล่านั้น

พวกผู้บริหารจากบริษัทยักษ์ใหญ่ตั้งแต่โตโยต้า ไปจนถึงเจนเนอรัล มอเตอร์ส และโบอิ้ง สามารถลืมไปได้เลยสำหรับความหวังที่จะได้ร่วมเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขในเทศกาลวันหยุดคริสตมาสที่กำลังจะมาถึง เรื่องนี้ยังเกิด “คลิก” ขึ้นมา เนื่องจากมันกำลังเชื่อมโยงจุดต่างๆ จำนวนมากซึ่งโยงใยอยู่กับความย่ำแย่ในด้านคุณภาพของเจแปนอิงก์

แบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับ เทปโก, โตชิบา, และเรื่องราวน่าอับอายของภาคบรรษัทญี่ปุ่นรายอื่นๆ หัวใจความผิดพลาดของกรณีโกเบ สตีลนั้น เกี่ยวข้องกับความนิ่งนอนใจ, คณะกรรมการบริหารบริษัทซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่มีความสัมพันธ์สนิทใกล้ชิดกันและไม่ประสงค์ที่จะก้าวก่ายกัน จนกระทั่งมีความหวาดเกรงที่จะเข้าจัดการกับปัญหาหมักหมมเรื้อรังทั้งหลาย หรือที่จะพูดจาบอกกล่าวความจริงอันไม่เป็นที่ชื่นชอบต่อผู้มีอำนาจ

เรื่องนี้ยังบังเกิดขึ้นภายหลังกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับเหล็กกล้าของญี่ปุ่นเมื่อปี 2016 ซึ่งกลุ่มกรีนพีซ (Greenpeace) ระบุว่ามีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฝรั่งเศส (ดูเพิ่มเติมได้ที่http://www.greenpeace.org/japan/ja/news/press/2016/pr201610251/)

ปมเด่นที่ญี่ปุ่นใช้โอ่อวดมานานทีเดียวคือเรื่องคุณภาพ นี่ยังเป็นกลเม็ดทีเด็ดซึ่งโตเกียวใช้ในการเสนอขายโนวฮาวด้านโครงสร้างพื้นฐานของตนในเอเชีย ขณะที่อิทธิพลของจีนกำลังแผ่กว้างขึ้นเรื่อยๆ

แต่ข้ออ้างของอาเบะที่ว่า “ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว” และบริษัทญี่ปุ่นทั้งหลายสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้ ณ ปี 2017 นี้ กลับถูกตอกกลับหน้าหงายว่าไม่เป็นความจริง จากขบวนแถวผู้บริหารภาคธุรกิจแห่งแล้วแห่งเล่าซึ่งยังคงเหมือนกับมีชีวิตอยู่ในยุคปี 1987

ขอเตือนเอาไว้ก่อนนะครับ นี่คือนายกรัฐมนตรีคนที่เมื่อปี 2014 ได้เร่งรัดผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยความลับซึ่งมีเนื้อหากำกวมคลุมเครือและมีบทลงโทษน่าหวาดหวั่น ให้ผ่านรัฐสภาออกมาบังคับใช้ มันเป็นกฎหมายที่สามารถจับพวกนักหนังสือพิมพ์และคนวงในที่ออกมาโวยความไม่ชอบมาพล หรือที่เรียกกันว่า “ผู้เป่านกหวีด” (whistleblower) เข้าคุกได้

นี่หมายความว่าหากนักข่าวคนหนึ่งซึ่งขุดคุ้ยเจอเรื่องแย่ๆ อย่างเช่นว่า บริษัทเทปโกกำลังจัดทำรายงานด้านความปลอดภัยที่มีข้อมูลหลอกลวงปกปิดซ่อนเร้น (อีกหนหนึ่งแล้ว) เขาหรือเธอก็อาจจะถูกขู่กรรโชกไม่ให้เขียนออกมาเป็นข่าว ถ้ าข้อมูลดังกล่าวได้มาจากผู้เป่านกหวีดภายในบริษัท

ในทำนองเดียวกัน นักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่งก็อาจถูกข่มขู่เช่นนี้ได้เหมือนกัน หากเขาพยายามรายงานข่าวการเล่นพรรคเล่นพวกของรัฐบาลซึ่งแสดงออกให้เห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าหน้าที่กระทรวงกับพวกผู้บริหารภาคธุรกิจที่ประพฤติตัวไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม

ตอนที่อาเบะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 22 ในบัญชีเสรีภาพสื่อมวลชนของนานาชาติ ซึ่งจัดโดยองค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) มาในเวลานี้ได้หล่นฮวบลงมาอยู่อันดับ 72 แล้ว ทำให้โตเกียวมีคะแนนด้านเสรีภาพหนังสือพิมพ์ใกล้เคียงกันกับมาลาวี, โครเอเชีย, และฮ่องกง—ซึ่งรายหลังนี้เวลานี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของกลไกเซ็นเซอร์ของปักกิ่งอยู่

ความล้มเหลวเหล่านี้กลายเป็นการเปิดรูโหว่เบ้อเร่อให้แก่พรรคแห่งความหวัง ขณะที่การเลือกตั้งกำลังเหลือเวลาไม่ถึง 10 วัน

หลักนโยบายที่พรรคแห่งความหวังของโคะอิเกะเสนอออกมาในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ มีทั้งเรื่องการแก้ไขจัดการกับการปกปิดอำพรางข้อมูลต่างๆ ของพวกบริษัทธุรกิจ, การลดทอนให้พวกผู้บริหารบริษัทต่างๆ สามารถมีส่วนในการให้ความอุปถัมภ์ทางการเมืองได้เพียงจำกัด, การจัดเก็บภาษีจากเงินสดล้นเกินที่ปรากฏอยู่ในงบดุลบริษัท, การจำกัดควบคุมพวกนักล็อบบี้ที่มุ่งรักษาผลประโยชน์ให้แก่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์และอุตสาหกรรมยาสูบซึ่งทรงอำนาจเหลือล้น, และกระทั่งการตั้งคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ

เกมวางเดิมพันท้ายสุดนี้อาจทำให้พรรคของโคะอิเกะได้กำไรอย่างงามก็เป็นได้

ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเวลานี้รู้สึกกังวลในเรื่องที่อาเบะกำลัง เอาต์ซอร์ส นโยบายการต่างประเทศของแดนอาทิตย์อุทัยไปอยู่ในมือของประธานาธิบดีอเมริกันผู้ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ซึ่งแทบไม่มีความเข้าอกเข้าใจตลอดจนไม่ค่อยมีความเคารพในเรื่องลำดับความสำคัญทางด้านความมั่นคงและทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเอาเสียเลย

แต่กรณีอื้อฉาวโด่งดังของเจแปนอิงก์ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสตัดสินใจให้แก่ชาวญี่ปุ่น พรรคแอลดีพีของอาเบะซึ่งปกครองประเทศอย่างแทบต่อเนื่องไม่มีเว้นวรรคในช่วง 62 ปีที่ผ่านมา คือผู้ที่ได้สร้าง, ทำให้มันทำงานได้, รวมทั้งยังคงคอยปกป้องคุ้มครอง รากฐานของภาคบรรษัทธุรกิจที่ผิดเพี้ยนไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานการปฏิบัติของทั่วโลก

ทั้งหมดเหล่านี้ย่อมเข้าทางของโคะอิเกะผู้ประกาศเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เหตุผลหลักที่อาเบะใช้มาโต้แย้งว่าประชาชนผู้ออกเสียงชาวญี่ปุ่นยังควรที่จะเลือกเขาและพรรคแอลดีพีต่อไปก็คือ แดนอาทิตย์อุทัยจำเป็นที่จะต้องรักษาเส้นทางแห่งนโยบายเศรษฐกิจ “อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) เอาไว้ ทว่าวันเวลาได้ผ่านไปแล้ว 5 ปี ขณะที่ความพยายามของอาเบะในการยกระดับเกมการเล่นของญี่ปุ่น ยังคงดูเหมือนกับว่าค่อนข้างน้อยเกินไปและค่อนข้างเชื่องช้าเกินไปเสียแล้ว

นี่จึงเป็นประเด็นที่โคอิเกะควรหยิบยกขึ้นมาชูให้โดดเด่นตั้งแต่เนิ่นๆ และบ่อยๆ ก่อนที่ “หอแห่งความอายสำหรับภาคบรรษัทญี่ปุ่น” จะเกิดความจำเป็นต้องขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกปีกหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น