xs
xsm
sm
md
lg

จับตา ‘สีจิ้นผิง’ กระชับอำนาจใน ‘สมัชชาพรรค19’ วันพุธหน้า

เผยแพร่:   โดย: ฟรานเชสโก ซิสซี

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

The 19th National Congress: all for Xi and Xi for all
By Francesco Sisci, Columnist
26/09/2017

การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ 19 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีกำหนดการเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคการปกครองของเหมา เจ๋อตง เป็นต้นมา ที่โดยพื้นฐานแล้วคนเพียงคนเดียวเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสินการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ทั้งหมด คนๆ นั้นก็คือ เลขาธิการใหญ่พรรค สี จิ้นผิง

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่ในยุคของเหมา จีนมีฐานะเป็นเพียงจุดแต้มเล็กๆ จุดหนึ่งในฉากการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้แดนมังกรคืออภิมหาอำนาจรายหนึ่งของโลก

แน่นอนทีเดียว ทำนองเดียวกับในยุคของเหมา สียังคงต้องรับมือกับศูนย์อำนาจอื่นๆ ภายในจีน ไม่ว่าจะเป็น กลไกต่างๆ ของพรรค, ภาครัฐวิสาหกิจ, กองทัพ ฯลฯ ทว่าแต่ละศูนย์อำนาจเหล่านี้ต่างก็ได้ถูกปฏิรูปหรือกำลังถูกปฏิรูปด้วยอำนาจปกครองของสีทั้งสิ้น และเวลานี้ศูนย์เหล่านี้อยู่ในสภาพที่เป็นสถาบัน ไม่ใช่เป็นฝักฝ่าย เหมือนอย่างที่ได้เปลี่ยนโฉมแปลงร่างไปในระหว่างสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง

อันที่จริงแล้ว เติ้งอยู่ในสภาพที่เรียกกันเป็นภาษาละตินว่า primus inter pares นั่นคือเป็นหมายเลขหนึ่งในหมู่ผู้อาวุโสคร่ำหวอดที่มีฐานะเท่าเทียมเสมอกัน พวกผู้อาวุโสคร่ำหวอดช่วยกันนำตัวเขาหวนกลับคืนสู่อำนาจได้สำเร็จในปี 1978 หลังจากต่อสู้ช่วงชิงอำนาจนี้มาได้จาก “แก๊ง 4 คน” ที่ชื่อฉาวโฉ่ ด้วยการทำรัฐประหารในทางพฤตินัยเมื่อปี 1976

ผู้อาวุโสคร่ำหวอดเหล่านี้ซึ่งมีความสนิทใกล้ชิดกับเติ้งนั้น แต่ละคนต่างมีเส้นสายอิทธิพลของพวกเขาเอง หลังจากเติ้งและผู้อาวุโสคร่ำหวอดต่างล้มหายตายจากไปแล้ว เส้นสายอิทธิพลเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไปอีก รวมทั้งยังมีเส้นสายอิทธิพลอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกด้วย โดยเป็นของเลขาธิการใหญ่พรรค เจียง เจ๋อหมิน บ้าง, ของสมาชิกบางคนในคณะประจำกรมการเมืองบ้าง, หรือไม่ก็ของหู จิ่นเทา ทายาทผู้สืบตำแหน่งต่อจากเจียง

เส้นสายอิทธิพลเหล่านี้เติบโตขยายตัวจนกระทั่งก่อรูปขึ้นเป็นใยแมงมุมแห่งอำนาจบารมีทางเลือก ถึงแม้ใยแมงมุมแห่งอำนาจบารมีเช่นนี้มิได้ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่ก็กลายเป็นตัวที่คอยเร่งรัด, หล่อลื่น, หรือหยุดยั้ง ฟันเฟืองของอำนาจทางการ แล้วมันก็ทำเช่นนี้ด้วยมุ่งหวังที่จะได้ผลประโยชน์มากขึ้นทุกที กลุ่ม, ฝ่ายและเส้นสายสัมพันธ์ปรากฏขึ้นมาทุกหัวระแหง บางทีสภาพเช่นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ได้ ทว่าสำหรับในประเทศจีนแล้ว มิติและความสำคัญของกลุ่มฝ่ายเส้นสายสัมพันธ์เหล่านี้ได้เติบโตขยายตัวจนเกินล้นความเหมาะสมไปแล้วอย่างชัดเจน

ใยแมงมุมนี้ได้กลายเป็นมะเร็งร้ายที่แทบจะเข้าแทนที่โครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการทีเดียว ทว่ามาถึงตอนนี้มันกำลังถูกกำจัดทิ้งไปด้วยแรงขับดันของการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น กระนั้นในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนซากหักพังของระเบียบเก่า เรายังคงไม่อาจมองเห็นได้ว่าระเบียบใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร โดยที่การประชุมสมัชชาพรรคในกลางเดือนตุลาคมนี้อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเปิดทางให้เราได้เหลือบแลโฉมหน้าคร่าวๆ ของสิ่งที่อยู่ในความคิดของสี

แน่นอนทีเดียวว่าหลังการมองผาดเหลือบแลแล้ว ยังคงมีประเด็นเรื่องที่ว่าความฝันของสีสำหรับประเทศจีน และนี่ย่อมต่อเนื่องถึงความฝันของเขาสำหรับโลกด้วยนั้น จะปฏิบัติให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร รวมทั้งจีนและโลกจะแสดงปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไรด้วย –แต่นี่ย่อมจะเป็นประเด็นปัญหาสำหรับอนาคต หลังจากที่เราได้เรียนรู้แผนการของสีแล้ว เวลานี้แผนการนี้ถูกห่อคลุมเอาไว้เป็นความลับอย่างมิดชิด ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าจะมีการกล่าวเกริ่นอารัมภบท และการดำเนินงานต่างๆ ของพรรคก็เดินหน้าไปอย่างคลุมเครือไร้ความโปร่งใสอยู่แล้ว

มี 2 ด้านด้วยกันที่ดูจะต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างที่สุด ได้แก่ การปฏิรูปภาครัฐวิสาหกิจ และการปฏิรูปทางการเมืองที่สำคัญบางส่วนบางประการ

ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม อาจจะมีองค์ประกอบบางอย่างซึ่งจะต้องโฟกัสให้ความสนใจ เพื่อนำมาคาดเก็งว่าจะมีความเคลื่อนหยั่งลึกยิ่งขึ้นไปอีกขนาดไหนในเรื่องการรวมศูนย์อำนาจของสี

สมาชิกของคณะประจำกรมการเมือง (Politburo Standing Committee) จะลดลงจาก 7 เหลือ 5 คนหรือไม่? นี่จะเป็นการรวมศูนย์อำนาจเข้ามาอยู่ในมือของสี และก็เป็นสัญญาณของการกุมอำนาจเอาไว้อย่างแน่นหนาของเขาด้วย คณะประจำกรมการเมืองนั้นเคยมีจำนวน 5 คนในคราวสมัชชาพรรคปี 1955 และยังคงมี 5 คนเช่นกันในคราวปี 1987 แต่หลังจากนั้นโครงสร้างของพรรคก็เปลี่ยนแปลงไป

ในปี 1955 เติ้งหลุดออกมาจากคณะประจำกรมการเมือง ทว่าเขายังมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการใหญ่พรรค เป็นตัวกลางคอยให้ความสนับสนุนและสร้างเสถียรภาพระหว่างผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ที่มีเหมา เจ๋อตงเป็นผู้นำ กับส่วนอื่นๆ ทั้งหมดของพรรค ส่วนในปี 1987 นั้น เบื้องหลังของสมาชิกทั้ง 5 ของคณะประจำกรมการเมืองรุ่นนั้น มีบรรดาผู้อาวุโสคร่ำหวอดรวมตัวกันอยู่คอยทำหน้าที่ชักดึงเส้นเชือก

มาถึงตอนนี้สมาชิกทั้ง 5 ของคณะประจำกรมการเมืองรุ่นนี้จำเป็นที่จะต้องมีโครงสร้างอย่างอื่นๆ ด้วยจึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้ว 5 คนจะน้อยเกินไปสำหรับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งเพิ่มขึ้นทุกทีของจีนในปัจจุบัน

ดังนั้นคณะประจำกรมการเมืองจึงอาจจะคงเอาไว้ที่จำนวน 7 คน ซึ่งจะทำให้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กระนั้นมันก็อาจบ่งบอกให้เห็นด้วยเหมือนกันว่า สีไม่สามารถที่จะเดินหน้าไปได้แม้กระทั่งในการรวมศูนย์อำนาจในจุดซึ่งมีความสำคัญยิ่งกว่าจุดอื่นๆ นี้

แน่นอนทีเดียว เครื่องบ่งชี้อีกประการหนึ่งว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างไร ยังจะมาจากตัวบุคคลที่จะเข้ามานั่งในคณะกรรมการประจำ ทั้งนี้ เฉิน หมิ่นเอ่อ (Chen Min’er) (เกิดปี 1960 เพิ่งได้รับแต่งตั้งแบบเป็นม้ามืดให้ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคสาขามหานครฉงชิ่ง) และ หู ชุนหวา (Hu Chunhua) (เกิดปี 1963 เป็นเลขาธิการพรรคสาขามณฑลกวางตุ้ง) อาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา หรืออาจจะได้เลื่อนเพียงคนใดคนหนึ่ง หรือไม่ได้เลยทั้งคู่

เฉินนั้นมีข่าวลือว่าสนิมสนมกับสีเป็นอย่างมาก และเป็นคนโปรดคนหนึ่งที่อาจเข้าอยู่ในเส้นทางของการเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่ง ทว่าอาจเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นกฎเกณฑ์สำหรับการเลือกผู้นำสูงสุดก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สำหรับ หู ชุนหวา เป็นผู้อยู่ในอุปถัมภ์คนหนึ่งของอดีตเลขาธิการใหญ่พรรค หู จิ่นเทา รัศมีความเป็นดาวเด่นของเขากำลังมัวมนลง ทว่าเขาเป็นคนที่ทรหด เขาเคยใช้เวลา 200 เดือนอยู่ในทิเบตและสามารถพูดภาษาทิเบตระดับใช้ในการสนทนาได้ เขาสามารถที่จะกลายเป็นทรัพย์สินมีค่าชิ้นหนึ่ง ถ้าหากสีเชื่อว่าเขามีความจงรักภักดี

ทว่าสิ่งที่น่าสนใจควรแก่การเฝ้าจับตามองยิ่งกว่านี้อีก ได้แก่เรื่องที่ว่า จะมีหน้าใหม่ๆ เข้ามาอยู่ในคณะกรรมการประจำกรมการเมือง และในกรมการเมืองหรือไม่ ถ้าหากมี พวกเขาเป็นใครกันบ้าง เป็นไปได้ว่าอาจจะมีหลายๆ คน โดยหลายคนทีเดียวอาจจะหน้าใหม่เอามากๆ ด้วย

ยังมีความสับสนเกี่ยวกับอนาคตต่อไปข้างหน้าของ หวัง ฉีซาน (Wang Qishan) พันธมิตรใกล้ชิดผู้หนึ่งของสี และเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบวินัยของพรรคอยู่ในเวลานี้ หวังอาจจะเกษียณอายุเนื่องจากวัยของเขา แต่มีความคิดเห็นกันว่าสีน่าที่จะให้เขาอยู่ต่อ ซึ่งจะเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ที่ใช้กันอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้สีได้แสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพใส่ใจของเขาต่อกฎเกณฑ์ในเรื่องอายุวัยเกษียณของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ด้วยการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตคนใหม่ประจำเกาหลีเหนือซึ่งอยู่มีอายุเกิน 70 ปี เลยจากข้อกำหนดเรื่องวัยเกษียณไปอย่างชัดเจน

อภิมหาเศรษฐี กัว เหวินกุ้ย (Guo Wengui) ซึ่งหลบหนีจากจีนไปสหรัฐฯภายหลังถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นหลายกระทง เมื่อเร็วๆ นี้ได้ออกมากล่าวหาว่า หวังก็มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับการทุจริต โดยโยงใยอยู่กับกรณีสายการบินไห่หนาน แอร์ไลนส์ (Hainan Airlines) การกล่าวหาเช่นนี้ในทางเป็นจริงแล้วอาจกลายเป็นการเพิ่มพูนโอกาสของหวังที่จะอยู่ต่อ เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นมีประเพณีที่จะถ่มน้ำลายใส่ข่าวลือและข้อกล่าวหาต่างๆ ซึ่งกระจายเผยแพร่อยู่ภายนอกองค์กรทั้งหลายของพรรค

ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากมีข่าวลือเหล่านี้ หวังเป็นผู้ที่ออกมาต้อนรับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เป็นผู้ออกมาต้อนรับ สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) อดีตหัวหน้านักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

ในทำนองเดียวกัน หลี่ เค่อเฉียง ซึ่งถึงแม้การปฏิบัติงานในฐานะนายกรัฐมนตรีเท่าที่ผ่านมาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร แต่ก็ยังน่าที่จะได้อยู่ต่อไป กระนั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะบอกปัดแข็งขันว่าเขาจะไม่มีทางพ้นจากตำแหน่ง

สีได้สร้างความประหลาดใจเป็นจำนวนมากในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา และควรคาดหมายว่ายังจะมีมากมายกว่านี้อีกในเวลาต่อไปข้างหน้า

(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)

ฟรานเชสโก ซิสซี นักจีนวิทยา (sinologist) ชาวอิตาลี เป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ผู้พำนักอาศัยและทำงานอยู่ในปักกิ่ง เขาเขียนเรื่องส่งให้แก่ อิล โซเล ดิ 24 โอเร (Il Sole di 24 Ore) และได้รับเชิญเป็นคอมเมนเตเตอร์ด้านกิจการระหว่างประเทศอยู่บ่อยครั้งทางสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (CCTV) และ ฟินิกซ์ ทีวี (Phoenix TV)
กำลังโหลดความคิดเห็น