เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - สหรัฐฯ และอิสราเอล ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) อ้างหน่วยงานพิทักษ์มรดกโลกของยูเอ็นบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ แถมมีอคติต่อยิว การลาออกกระเทือน UNESCO หนัก เชื่อกระทบโปรเจกต์อนุรักษ์มรดกโลกอย่างเห็นได้ชัด แหล่งข่าวชี้ผลการลาออกจะเป็นทางการสิ้นเดือนธันวาคม 2018
RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) ว่า องค์การองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ที่ก่อตั้งมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดในปี 1945 ที่มีสหรัฐฯ ช่วยเหลือในการก่อตั้ง ต้องขาดหัวเรือใหญ่และผู้บริจาคชาติสำคัญไปแล้วในวันพฤหัสบดี (12)
ทั้งนี้ พบว่าโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เฮเทอร์ นูเอิร์ต (Heather Nauert) กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างหุนหัน แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความกังวลของสหรัฐฯต่อเงินสนับสนุนขององค์การยูเนสโก ความจำเป็นของหน่วยงานที่ต้องปฏิรูปตั้งแต่พื้นฐาน และยังคงมีความเห็นเชิงอคติต่ออิสราเอลที่ยูเนสโก”
อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ของสหรัฐฯ ชี้ว่า วอชิงตันจะยังคงสมาชิกภาพในฐานะผู้สังเกตการณ์ในยูเนสโกต่อไป เพื่อที่ทางสหรัฐฯ จะสามารถแสดงความเห็น ความคาดหวัง และความเชี่ยวชาญต่อทางองค์กรได้ ทั้งนี้ยังไม่มีความเห็นออกมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องนี้
สื่อรัสเซียชี้ว่า อิสราเอลได้ประกาศการลาออกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ลาออกแล้ว พร้อมกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ออกมาโจมตีทางยูเนสโก ว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ “นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ และมีคุณธรรม เพราะยูเนสโกได้กลายเป็นเวทีของตัวประหลาด แทนที่จะทำหน้าที่อนุรักษ์ประวัติศาสตร์ แต่กลับเลือกที่จะบิดเบือน”
เอกอัคราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ แดนนี ดานอน (Danny Danon) กล่าวในเรื่องนี้ “วันนี้ถือเป็นวันใหม่ที่ยูเอ็นซึ่งเป็นราคาที่พวกเขาทุกคนต้องจ่ายต่อการเหยียดหยามและกีดกันอิสาเอล”
ก่อนหน้าแหล่งข่าวสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยกับเอพีว่า วอชิงตันมีแผนที่จะลาออกจากองค์การองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติขององค์การสหประชาชาติ หลังจากที่ทางหน่วยงานนี้มีมติหลายครั้งในการแสดงความเห็นที่ทางรัฐบาลทรัมป์ชี้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความมีอคติต่อยิว
ด้านผู้อำนวยการยูเนสโก อีรีนา โบโกวา (Irina Bokova) กล่าวว่า เธอได้รับหนังสือแจ้งการลาออกอย่างเป็นทางการจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน แล้ว พร้อมกับแสดงความรู้สึกถึงเรื่องนี้ว่า เธอมีความเสียใจอย่างสุดซึ้งในการตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาที่ทำการลาออก
โบโกวายืนยันว่า การลาออกของอเมริกา “ถือเป็นการสูญเสียต่อระบบวัฒนธรรมแบบหลากหลาย และต่อสังคมยูเอ็น”
ในแถลงการณ์ของผู้อำนวยการยูเนสโก ที่ออกมาในวันพฤหัสบดี (12 ต.ค.) โบโกวากล่าวว่า “ในเวลาที่การต่อสู้ต่อแนวคิดความรุนแรงสุดโต่ง มีความต้องการในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้านการศึกษา และในการเจรจาเชิงวัฒนธรรมเพื่อป้องกันแนวคิดความเกลียดชัง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการลาออกจากองค์การสหประชาชาติที่เป็นผู้นำในด้านปัญหาเหล่านี้”
และผู้อำนวยการยูเนสโก ยังให้ความเห็นว่า “ในปี 2011 เมื่อสหรัฐฯ หยุดการให้เงินสนับสนุนกับทางหน่วยงาน ดิฉันมีความรู้สึกว่าทาง UNESCO ไม่เคยมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา หรือสหรัฐอเมริกาต่อ UNESCO”
ทั้งนี้ พบว่าในการหยุดการให้เงินช่วยเหลือองค์การยูเนสโก ในปี 2011 เกิดขึ้นเมื่อทางหน่วยงานยอมรับปาเลสไตน์ในฐานะสมาชิกส่งผลทำให้สหรัฐฯไม่พอใจอย่างหนัก แต่อย่างไรก็ตาม ทางวอชิงตันยังคงมีตัวแทนประจำที่สำนักงานใหญ่ขององค์การยูเนสโก ประจำกรุงปารีส
โดยเป็นการหยุดให้เงินสนับสนุนแก่ทางหน่วยงานนับตั้งแต่ปี 2011 มาจนถึงปัจจุบันนี้ รอยเตอร์รายงานว่า แต่ละปีวอชิงตันต้องทำการสนับสนุนด้านการเงินทางงบประมาณแก่ทางยูเนสโก จำนวน 80 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในเวลานี้สหรัฐฯ ยังคงค้างจ่ายทางหน่วยงานกว่า 500 ล้านดอลลาร์
รอยเตอร์ชี้ว่า การลาออกของสหรัฐฯ ในครั้งนี้คาดว่าน่าจะกระทบต่อทางยูเนสโก เนื่องมาจากสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาครายใหญ่ถึง 1 ใน 5 ของทางหน่วยงาน ซึ่งหน้าที่ของยูเนสโก มีเพื่อปกป้องมรดกโลกเชิงวัฒนธรรมทั่วโลก เป็นต้นว่า เมืองโบราณพัลไมราในซีเรีย อุทยานแห่งชาติแกรนแคนยอนในสหรัฐฯ และเดอะเกรตแบริเออร์รีฟ ของออสเตรเลีย เป็นต้น ทางองค์กรมีเจ้าหน้าที่ทั่วโลกราว 2,000 คน ส่วนใหญ่ประจำที่สำนักงานใหญ่ในฝรั่งเศส
ในปัจจุบันนี้ทางยูเนสโกมีปัญหาด้านการเงิน เพราะนอกจากที่สหรัฐฯ จะยังคงค้างจ่ายการสนับสนุนแล้ว พบว่าอีก 3 ชาติเป็นต้นว่า อังกฤษ ญี่ปุ่น และ บราซิล ด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือ ยังคงไม่จ่ายเงินช่วยเหลือทางหน่วยงานประจำงบประมาณปีนี้
แหล่งข่าวการทูตอย่างน้อย 3 คนได้ให้ข้อมูลกับรอยเตอร์วันพฤหัสบดี (12) ว่า การลาออกจะมีผลอย่างเป็นทางการในสิ้นเดือนธันวาคม 2018 ไปแล้ว