รอยเตอร์ - สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ 2 ลำไปบินวนเหนือคาบสมุทรเกาหลีเพื่อแสดงแสนยานุภาพครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.) ระหว่างที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลาโหมเพื่อหามาตรการตอบโต้ภัยคุกคามเกาหลีเหนือ
ประธานเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้แถลงวันนี้ (11) ว่า กองทัพโสมขาวได้ส่งเครื่องบินขับไล่ F-15K จำนวน 2 ลำขึ้นไปสมทบกับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1B แลนเซอร์ ของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาจากฐานทัพอากาศแอนเดอร์สันบนเกาะกวม โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯ ได้ร่วมซ้อมยิงขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้นดินที่นอกชายฝั่งทางตะวันออกของเกาหลีใต้ ก่อนจะบินข้ามคาบสมุทรเกาหลีเพื่อทำการฝึกซ้อมแบบเดียวกันในน่านน้ำระหว่างเกาหลีใต้กับจีน
ด้านกองทัพสหรัฐฯ แถลงว่า เครื่องบินขับไล่ญี่ปุ่นก็เข้าร่วมการฝึกครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินจากทั้ง 3 ชาติได้ทำภารกิจซ้อมรบร่วมในเวลากลางคืน
เมื่อเดือน ส.ค. เกาหลีเหนือขู่จะยิงขีปนาวุธพิสัยกลางกึ่งไกล (intermediate-range missile) ไปถล่มเป้าหมายในน่านน้ำรอบๆ เกาะกวม ซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ด้วยเกรงว่าเปียงยางจะกระทำการยั่วยุในช่วงครบรอบ 72 ปีการก่อตั้งพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ซึ่งผ่านไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ต.ค. โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ
เมื่อวานนี้ (10) ทรัมป์ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเพื่อหารือทางเลือกที่จะใช้ตอบโต้ หากถึงคราวจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยับยั้งมิให้โสมแดงใช้อาวุธนิวเคลียร์คุกคามดินแดนของอเมริกาและชาติพันธมิตร
ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์ ได้รับฟังข้อมูลจากรัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส รวมถึง พล.อ.โจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรครัฐบาลเกาหลีใต้ออกมาเปิดเผยวานนี้ (10) ว่าแผนปฏิบัติการร่วมของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ในยามสงคราม รวมถึงกระบวนการโจมตีเพื่อสังหารผู้นำ คิม จอง อึน ถูกแฮกเกอร์โสมแดงขโมยไปได้เมื่อปีที่แล้ว
รี โชลฮี ส.ส.จากพรรค เดโมเครติก ปาร์ตี ระบุว่า แฮกเกอร์เกาหลีเหนือได้แอบเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของศูนย์ข้อมูลบูรณาการด้านกลาโหมเกาหลีใต้ (Defense Integrated Data Centre) เมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว และเข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวจำนวน 235 กิกะไบต์ หนึ่งในนั้นคือ “แผนปฏิบัติการ 5015” (Operational Plans 5015) สำหรับใช้ในกรณีที่เกิดสงครามกับเกาหลีเหนือ รวมไปถึงกลยุทธ์โจมตีเพื่อเด็ดหัวผู้นำโสมแดง
กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ยืนยันเมื่อเดือน พ.ค. ว่าการจารกรรมข้อมูลครั้งนี้เป็นฝีมือเปียงยาง แต่ไม่ได้เปิดเผยว่ามีข้อมูลใดบ้างที่ถูกขโมย
จีนซึ่งเป็นพันธมิตรและคู่ค้าอันดับ 1 ของเกาหลีเหนือเรียกร้องให้วอชิงตันและเปียงยางหยุดพูดจายั่วยุซึ่งกันและกัน และหันกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง
หนังสือพิมพ์โกลบัลไทม์สซึ่งเป็นสื่อแท็บลอยด์ของปักกิ่งระบุในบทบรรณาธิการฉบับเมื่อวานนี้ (10) ว่า การข่มขู่กันไปมาระหว่าง ทรัมป์ และ คิม จอง อึน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะ “ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง”
“ประชาคมโลกไม่มีวันยอมให้เกาหลีเหนือกลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ แต่เกาหลีเหนือก็ต้องการทั้งเวลาและข้อพิสูจน์เพื่อให้มั่นใจว่า ยกเลิกโครงการนิวเคลียร์แล้วจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการเมืองของพวกเขาเอง ซึ่งกระบวนการเชิงบวกนี้สมควรจะลองดูสักครั้ง” โกลบัลไทม์ส ระบุ