สหรัฐอเมริกาเผชิญเหตุนองเลือดครั้งใหญ่จากอาวุธปืนอีกครั้ง เมื่อคนร้ายวัย 64 ปี เปิดฉากสาดกระสุนจากโรงแรมระฟ้าในนครลาสเวกัสเข้าใส่ฝูงชนที่กำลังสนุกสนานกับการชมคอนเสิร์ตเพลงคันทรีเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าครึ่งร้อย บาดเจ็บอีกกว่าครึ่งพัน กลายเป็นโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอเมริกา และปลุกกระแสเรียกร้องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งหาเบาะแสเพื่อระบุให้ได้ว่าเหตุใดชายซึ่งไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมและอาการทางจิตจึงสะสมอาวุธร้ายแรงจำนวนมาก และเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ได้อย่างเลือดเย็น
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันอาทิตย์ (1 ต.ค.) ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของเทศกาลเพลงคันทรีที่จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน โดยขณะเกิดเหตุมีผู้ชมแออัดกันอยู่ในงานซึ่งเป็นการแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งถึง 22,000 คน และ เจสัน อัลดีน ศิลปินคันทรีชื่อดัง กำลังแสดงอยู่บนเวที
มือปืนซึ่งถูกระบุชื่อว่า “สตีเฟน เครก แพดด็อก” วัย 64 ปี ได้ทุบกระจกหน้าต่างห้องสวีทบนชั้น 32 ของโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ และส่องปืนกราดยิงลงมาเบื้องล่าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 58 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 500 คนทั้งจากคมกระสุนและการถูกเหยียบย่ำระหว่างที่ผู้ชมนับหมื่นพยายามวิ่งหนีตาย
คลิปเหตุการณ์เผยให้เห็นผู้คนกรีดร้องอย่างเสียขวัญ และพยายามหมอบลงบนพื้นหรือวิ่งหนี โดยมีเสียงปืนรัวมาจากที่ไกลๆ ซึ่งตำรวจคาดคะเนว่าน่าจะไกลกว่า 500 ยาร์ด หรือประมาณ 457 เมตร
เหตุชุลมุนยุติลงเมื่อหน่วย SWAT จู่โจมเข้าไปในห้องสวีทของโรงแรม พบว่ามือปืนได้ยิงตัวตายแล้ว
ตำรวจสหรัฐฯ ระบุว่า แพดด็อก สาดห่ากระสุนใส่ผู้คนที่ชมคอนเสิร์ตประมาณ 9-11 นาทีก่อนจะฆ่าตัวตาย และยังติดตั้งกล้องเอาไว้ทั้งภายในและด้านนอกห้องพัก เพื่อจะได้รู้ว่าตำรวจมาถึงแล้วหรือยัง
เจ้าหน้าที่พบปืนทั้งสิ้น 47 กระบอก กระสุนอีกหลายพันนัด จากการตรวจค้นสถานที่ 3 แห่ง ได้แก่ ห้องพักในโรงแรมมัณฑะเลย์เบย์, บ้านของ แพดด็อก ที่เมืองเมสคีต และบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองรีโน มลรัฐเนวาดา เฉพาะที่โรงแรมพบมากถึง 23 กระบอก และมีอยู่ 12 กระบอกที่ติดตั้งอุปกรณ์ “บัมพ์สต็อก” ซึ่งช่วยให้สามารถยิงรัวต่อเนื่องได้เหมือนปืนกล โดยอุปกรณ์ตัวนี้สามารถหาซื้อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ภายในรถยนต์ของ แพดด็อก ยังมีสาร “แอมโมเนียมไนเตรต” ซึ่งเป็นสารผลิตปุ๋ยเคมีที่ใช้ทำระเบิดได้ โดยสารชนิดนี้เคยถูกใช้ก่อเหตุระเบิดสำนักงานรัฐในเมืองโอคลาโอมาซิตีเมื่อปี 1995 และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 168 ราย
กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างว่า แพดด็อก เป็น “ทหารของรัฐคอลีฟะห์” ที่เพิ่งเปลี่ยนมารับอิสลามเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังไม่ปักใจเชื่อ
ข้อมูลสาธารณะระบุว่า แพดด็อก เคยเดินทางไปทั่วฝั่งตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา เคยทำงานเป็นผู้จัดการอพาร์ตเมนต์และพนักงานบริษัทอากาศยานและอวกาศ ก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านอยู่ในชุมชนคนวัยเกษียณที่รัฐเนวาดาเมื่อไม่กี่ปีก่อน
อีริก น้องชายของ แพดด็อก ระบุว่า พี่ชายมีฐานะทางการเงินมั่นคง ชอบเล่นโปกเกอร์ออนไลน์และล่องเรือสำราญ และตนคิดไม่ออกเลยว่าพี่ชายทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
เขายืนยันว่าทางครอบครัวจะไม่จัดงานศพให้ แพดด็อก เนื่องจากผู้ตายไม่นับถือศาสนา อีกทั้งครอบครัวก็ไม่ต้องการเป็นข่าวด้วย
ตำรวจสหรัฐฯ หวังจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก “มาริลู แดนลีย์” หญิงชาวออสเตรเลียเชื้อสายฟิลิปปินส์วัย 62 ปีซึ่งอยู่กินกับ แพดด็อก โดยขณะเกิดเหตุเธอเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่ฟิลิปปินส์
เอฟบีไอส่งเจ้าหน้าที่ไปดักรอ แดนลีย์ ที่สนามบินทันทีที่กลับถึงลอสแองเจลิสเมื่อค่ำวันอังคาร (3) และได้เชิญตัวไปสอบปากคำ ต่อมา แดนลีย์ ได้แถลงผ่านทนายว่า เธอไม่ล่วงรู้หรือระแคะระคายมาก่อนว่า แพดด็อก มีแผนก่อเหตุร้ายระหว่างที่เธอไม่อยู่
“ดิฉันรู้จัก สตีเฟน แพดด็อก ว่าเป็นคนจิตใจดี เอาใจใส่ และเงียบขรึม ดิฉันรักเขาและหวังที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอย่างสงบ ดิฉันไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าเขามีแผนก่อเหตุรุนแรงทำร้ายใคร” เธอกล่าว
แดนลีย์ ยอมรับว่า แพดด็อก เป็นคนซื้อตั๋วเครื่องบินให้เธอ และยังโอนเงิน 100,000 ดอลลาร์ไปให้ซื้อทรัพย์สินในฟิลิปปินส์ด้วย ซึ่งทำให้เธอนึกสงสัยว่าเขาอาจต้องการแยกทาง ขณะที่ อีริค ซึ่งเป็นน้องชายของ แพดด็อก บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เงินที่พี่ชายโอนไปให้ แดนลีย์ นั้นแสดงให้เห็นว่า “สตีฟใส่ใจคนที่เขารัก” และคงอยากปกป้องเธอด้วยการส่งเธอไปเมืองนอก ก่อนที่ตนจะลงมือก่อเหตุ
การสังหารหมู่ครั้งเลวร้ายที่สุดนี้ทำให้กฎหมายควบคุมอาวุธปืนกลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงในสหรัฐฯ อีกครั้ง และสร้างแรงกดดันต่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเชื่อว่าสิทธิในการครอบครองปืนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 2 เป็นหลักการศักดิ์สิทธิ์อันจะละเมิดมิได้
ทรัมป์ ประณามการกระทำของมือปืนรายนี้ว่าชั่วร้ายเหมือน “ปีศาจ” และสั่งให้มีการลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศจนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกของวันศุกร์ที่ 6 ต.ค. ก่อนจะเดินทางไปเยือนนครลาสเวกัสในวันพุธ (4) เพื่อปลอบขวัญเหยื่อกราดยิง
พรรครีพับลิกันซึ่งคุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรสยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมโอนอ่อนเรื่องการออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืน ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจากพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นคู่แข่งของ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว ติเตียนสมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association - NRA) ซึ่งกำลังล็อบบี้คองเกรสให้ออกกฎหมายที่จะทำให้การซื้อหาท่อเก็บเสียงปืน (gun silencer) ทำได้ง่ายกว่าเดิม
เมื่อผู้สื่อข่าวถาม ทรัมป์ ในวันอังคาร (3) ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่สหรัฐฯ จะต้องเริ่มอภิปรายเรื่องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างจริงจัง ก็ได้รับคำตอบจากผู้นำสหรัฐฯ ว่า “มันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
เว็บไซต์ Hedonometer ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดค่าความรู้สึกของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์พบว่า เหตุกราดยิงคอนเสิร์ตที่ลาสเวกัสทำให้วันจันทร์ที่ 2 ต.ค. กลายเป็น “วันโศกเศร้าที่สุดบนทวิตเตอร์” ค่าเฉลี่ยความสุขลดฮวบลงมาอยู่ที่ 5.77 ทำลายสถิติต่ำสุด 5.84 หลังเกิดเหตุกราดยิงบาร์เกย์ในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 49 ราย บาดเจ็บกว่า 50 คนเมื่อปีที่แล้ว