เอเอฟพี - คาซุโอะ อิชิงุโระ (Kazuo Ishiguro) นักเขียนญี่ปุ่นสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานนิยายเรื่อง “The Remains of The Day” หรือที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “เถ้าถ่านแห่งวารวัน” คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี 2017 ไปครองเมื่อวานนี้ (5 ต.ค.)
คณะกรรมการรางวัลโนเบลได้กล่าวถึงผลงานของนักเขียนวัย 62 ปีผู้นี้ว่าเป็น “นวนิยายที่เปี่ยมไปด้วยพลังทางอารมณ์ และทำให้ผู้อ่านค้นพบหุบเหวอันลึกล้ำภายใต้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับโลก ซึ่งเป็นเพียงมายา”
อิชิงุโระ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่าตนรู้สึก “ตกตะลึงและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ที่ได้รับรางวัลนี้
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง เพราะมันหมายความว่าผมได้เดินตามรอยเท้าบรรดานักเขียนยอดเยี่ยมของโลก นี่จึงเป็นการยกย่องที่มีคุณค่ามากสำหรับผม”
อิชิงุโระ เผยว่า เขาได้รับ “ข่าวอันไม่คาดหมาย” นี้ระหว่างที่กำลังนั่งเขียนอีเมล “ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเรื่องล้อกันเล่น ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าคงไม่จริงหรอก”
นักเขียนเชื้อสายญี่ปุ่นผู้นี้ผลิตงานเขียนมาแล้ว 8 เล่ม และยังเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์และโทรทัศน์อีกด้วย
อิชิงุโระ เคยคว้ารางวัล แมน บุ๊กเกอร์ ไพร์ซ เมื่อปี 1989 จากผลงานเรื่อง “The Remains of The Day” ซึ่งตีพิมพ์ในปีเดียวกัน ต่อมาในปี 1995 ก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ (Order of the British Empire) เพื่อเชิดชูเกียรติในฐานะผู้ที่มีคุณูปการต่อแวดวงวรรณกรรม
ซารา ดานิอุส เลขาธิการถาวรของบัณฑิตยสภาแห่งสวีเดน (Swedisn Academy) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีทีนิวส์หลังประกาศรางวัลว่า “The Remains of The Day เป็นมาสเตอร์พีซที่บ่งบอกว่าผู้แต่งเป็นนักเขียนที่มีบูรณภาพสูงมาก และได้พัฒนาจักรวาลแห่งสุนทรียะของตนเองขึ้นมา”
นวนิยายเรื่องนี้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 1993 นำแสดงโดย แอนโธนี ฮอปกินส์ และ เอ็มมา ทอมป์สัน และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา
อิชิงุโระ เกิดที่เมืองนางาซากิ ในปี 1954 หรือ 9 ปีหลังจากสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองแห่งนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่อังกฤษตั้งแต่เขาอายุ 5 ขวบ และกว่า อิชิงุโระ จะได้หวนกลับมาเยี่ยมแผ่นดินแม่ก็ในอีก 30 ปีให้หลัง เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
นวนิยาย 2 เรื่องแรกของเขาคือ “A Pale View of Hills” (1982) และ “An Artist of the Floating World" (1986) ล้วนใช้ฉากเหตุการณ์ในเมืองนางาซากิหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไม่กี่ปี
อิชิงุโระ เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารบอมบ์ (Bomb Magazine) เมื่อปี 1989 โดยบอกว่า “นิยายของผมมักจะใช้ฉากช่วงก่อนหรือหลังสงครามโลก เพราะผมว่ามันน่าสนใจเวลาที่คุณค่าและค่านิยมของคนถูกทดสอบ และผู้คนต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเมื่อสิ่งที่พวกเขาเชิดชูกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อการทดสอบมาถึง”