(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Why aren’t Muslim countries absorbing the Rohingya?
By Ghulam Rasool Dehlvi
12/09/2017
หลายประเทศมุสลิมซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มชาติมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของโลก ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและบริจาคเงินทองก้อนโตให้แก่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่เป็นมุสลิม ทว่าพวกเขาหยุดอยู่แค่นั้นไม่ได้ช่วยแบกรับดูดซับผู้คนเหล่านี้เข้าไปเป็นพลเมืองหรือแม้กระทั่งเข้าไปพำนักในฐานะผู้ลี้ภัย ในอีกด้านหนึ่งเรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมพวกผู้นำมุสลิมชาวอินเดียจึงยังคงทำตัวเป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ที่เงียบเฉย เมื่อสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยทางศาสนาได้ถูกล่วงละเมิดในประเทศที่ประชากรแทบทั้งหมดเป็นมุสลิม ไม่ว่าจะที่ปากีสถาน, บังกลาเทศ, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, อียิปต์, ตลอดจนส่วนอื่นๆ ของโลกอิสลาม?
เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Human Rights) เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน (Zeid Ra’ad Al Hussein) ได้กล่าวคำแถลงชวนแสบร้อนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์พม่าว่ากำลังกระทำการข่มเหงรังแกอย่างเป็นระบบต่อชาวชาติพันธุ์โรฮิงญาผู้นับถือศาสนามุสลิม (ดูรายละเอียดคำแถลงนี้ได้ที่ http://www.ohchr.org/EN/NewsEvents/Pages/media.aspx)
คำแถลงดังกล่าวนี้เป็นการยืนยันความหวาดกลัวอย่างเลวร้ายที่สุดของพวกเราที่ว่า ผู้หญิงและเด็กๆ กำลังถูกสังหารหมู่ และผู้ชายทั้งที่ยังเยาว์วัยและที่แก่ชรากำลังตกเป็นเป้าหมายของความทารุณเหี้ยมโหดซึ่งกระทำอย่างเป็นระบบ ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤตยิ่งนี้เอง การที่รัฐบาลอินเดียตัดสินใจให้เนรเทศพวกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาออกไป จึงกำลังถูกตั้งคำถามจากพวกผู้นำมุสลิมตลอดจนปัญญาชนชาวอินเดีย ผู้ซึ่งเชื่อว่าการตัดสินใจเช่นนี้เป็นการขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณีแห่ง Vasudhaiva Kutumbakam (ทั่วโลกเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวกัน) ของอินเดีย
ไซเอด โมฮัมหมัด อัชราฟ คิชฮาวชวี (Syed Mohammad Ashraf Kichhauchwi) ผู้ก่อตั้งและประธานของคณะกรรมการอุลามะและมาชัยค์ทั่วประเทศอินเดีย (All-India Ulama & Mashaikh Board หรือ AIUMB) เรียกร้องว่า รัฐบาลอินเดียควรที่จะหาที่พำนักพักพิงให้แก่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ขณะที่ ไซเอด ซัลมาน ชิชตี (Syed Salman Chishti) นักเคลื่อนไหวผู้เผยแพร่แนวคิดซูฟี (Sufi) ชื่อดังแห่ง ดะร์กะห์ อัจเมอร์ ชาริฟ (Dargah Ajmer Sharif) บอกว่า “คำกล่าวที่ว่า Atithi devo bhava (อาคันตุกะผู้มาเยือนเปรียบได้ดังพระผู้เป็นเจ้า) ไม่ควรกลายเป็นเพียงคำขวัญโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับกรมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ควรต้องเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกและปักหลักอย่างมั่นคงของอินเดียอีกด้วย”
ทว่าคำถามสำคัญมากประการหนึ่งซึ่งมักถูกมองข้ามอยู่เสมอก็คือว่า ทำไมพวกประเทศมุสลิมจำนวนมากจึงเงียบเฉยไม่ได้ก้าวเข้ามาช่วยแบกรับดูดซับชาวโรฮิงญาผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนเหล่านี้? ตามรายงานที่ใช้ชื่อว่า Left Out In The Cold (ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความหนาวเย็น ดูได้ที่ https://www.amnesty.org/en/documents/MDE24/047/2014/en/) ซึ่งออกเผยแพร่เมื่อปี 2014 ขององค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) พวกประเทศในกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council) ซึ่งประกอบด้วยซาอุดีอาระเบีย, บาห์เรน, คูเวต, กาตาร์, โอมาน, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ล้วนแต่ล้มเหลวไม่ได้ดูดซับช่วยรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียแม้แต่คนเดียว นับแต่ที่เกิดวิกฤตร้ายแรงในประเทศนั้นขึ้นมาเมื่อปี 2011
กลุ่มองค์กรของชาวมุสลิมอินเดีย อย่างเช่น AIUMB, จามิอัต อุล-อุลามะ-อี ฮินด์ (Jamiat ul-Ulama-e Hind หรือ JUH), และ จามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (Jamaat-e-Islami Hind หรือ JIH) ต่างออกมารบเร้าอย่างถูกต้อง ให้รัฐบาลอินเดีย, สหประชาชาติ, และองค์กรสิทธิมนุษยชนระวห่างประเทศต่างๆ เข้าช่วยเหลือชาวโรฮิงญา ผู้ซึ่งตามการคาดคะเนประเมินสถานการณ์ของบางฝ่ายนั้น พวกเขากำลังเผชิญกับการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยน้ำมือของพวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบชาวพม่าในแคว้นยะไข่
ขณะที่แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเข่นฆ่าชาวโรฮิงญา มาวลานา ไซเอด จาลาลุดดิน อุมารี (Maulana Syed Jalaluddin Umari) ประธานของ จามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (JIH) ได้เรียกร้องว่าทั้งสหประชาชาติ, องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Cooperation หรือ OIC), และองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ควรต้อง “เข้ากดดันให้รัฐบาล (พม่า) ยุติการฆ่าฟันเพื่อนร่วมชาติของพวกเขาเอง, ฟื้นฟูมอบคืนฐานะความเป็นพลเมืองของผู้คนเหล่านี้, ยกเลิกข้อห้ามข้อจำกัดการเดินทางของพวกเขา, และเน้นหนักให้ความสำคัญกับการยกระดับทางสังคมและทางเศรษฐกิจของพวกเขา” ดังที่รายงานเอาไว้ในวารสาร อินเดีย ทูมอร์โรว์ (India Tomorrow) ปากเสียงของกลุ่มจามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.indiatomorrow.net/eng/jamaat-urges-govt-of-india-united-nations-to-help-rohingya-muslims)
ในทำนองเดียวกัน จามิอัต อุล-อุลามะ-อี ฮินด์ (JUH) ได้รบเร้าให้สหประชาชาติจัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อกำหนดเส้นตายที่พม่าต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา JUH ยังรบเร้าให้รัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ชาวโรฮิงญาที่กำลังดิ้นรนหาที่ลี้ภัยสามารถพักพิงหลบภัยในอินเดียได้ “ในเรื่องนี้ อินเดียวควรกระทำตามบรรดาชาติพัฒนาแล้ว เป็นต้นว่าสหภาพยุโรป” JUH ระบุ ทั้งนี้ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์ ออฟ อินเดีย
ทว่ากลุ่มองค์กรอิสลามในอินเดียเหล่านี้ แทบไม่ได้ส่งเสียงแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาอย่างเปิดเผยเลย เมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันหนักหนาสาหัสชวนสลดใจ บังเกิดขึ้นในประดาประเทศที่ประชากรแทบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม ด้วยน้ำมือของระบอบปกครองที่เป็นมุสลิม หรือด้วยน้ำมือของพวกกลุ่มองค์กรก่อการร้ายอิสลามิสต์ ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับนับถือกันเฉพาะสำหรับชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมซึ่งพำนักอาศัยอยู่ในพวกประเทศที่ไม่ใช่อิสลามเท่านั้นหรือ? พวกอุลามะ (ผู้รู้ผู้สอนศาสนาอิสลาม) และพวกผู้นำอิสลามเคยออกมาประณามหรือไม่ เมื่อมีเด็กสาวมุสลิมจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนถูกลักพาตัวและถูกปลูกฝังสั่งสอนให้เชื่อในแนวความคิดของพวก “รัฐอิสลาม” แล้วจากนั้นก็ถูกใช้ประโยชน์และต้องล้มตายบาดเจ็บพิกลพิการ ในนามของ “การทำญิฮาดด้วยการสมรส” (Nikah al-Jihad) ?
วิกฤตโรฮิงญาโดยสาระสำคัญแล้วคือประเด็นปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน แน่นอนทีเดียว แผนการของรัฐบาลอินเดียที่จะเนรเทศชาวโรฮิงญาออกไปประมาณ 40,000 คน เป็นเรื่องซึ่งไปด้วยกันไม่ได้กับลักษณะพื้นฐานร่วมกันทางด้านสังคมของประเทศนี้ ที่เน้นความหลากหลายมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษแล้ว อินเดียมีประวัติยาวนานในการเข้าช่วยเหลือประชากรผู้อ่อนแอที่กำลังหลบหนีออกมาจากพวกประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นศรีลังกา, อัฟกานิสถาน, หรือทิเบต สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาบนพื้นฐานทางด้านมนุษยธรรม ไม่ใช่บนพื้นฐานเรื่องศาสนา พวกที่กำลังพยายามตัดสินวินิจฉัยชะตากรรมของผู้ลี้ภัยเหล่านี้บนพื้นฐานของศาสนาแทนที่จะเป็นเรื่องมนุษยธรรมนั้น ต้องถือว่ามีแรงจูงใจที่แฝงเร้น
เป็นเรื่องซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่รัฐบาลอินเดียจะต้องยกเลิกเกณฑ์ทางศาสนาที่กำหนดอยู่ในกฎหมายผู้ลี้ภัยของตนฉบับปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียนั้นได้เสนอที่จะแก้ไขรัฐบัญญัติพลเมืองปี 1955 (Citizenship Act, 1955) เพื่อทำให้กระบวนการแปลงสัญชาติกระทำได้อย่างสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่จะให้ประโยชน์เฉพาะแก่ผู้คนซึ่งนับถือศาสนาพุทธ, คริสต์, ฮินดู, เชน, โซโรแอสเตอร์, และซิกข์ ซึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อยในประเทศต้นกำเนิดของพวกเขา การยกเว้นไม่รวมเอาชาวมุสลิมที่พลัดถิ่นที่อยู่เข้าไว้ด้วยเช่นนี้ ถือว่าเป็นการละเลยอย่างโจ่งแจ้ง
ถึงแม้อินเดียไม่ได้เป็นผู้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดๆ ซึ่งทำให้เกิดพันธะผูกพันที่จะต้องต้อนรับผู้ลี้ภัย แต่ประเทศนี้ก็ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยที่หลบหนีสงครามความขัดแย้งและภัยพิบัติหายนะต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสต์ซีเรีย, ชาวยิวมาลาบาร์ (Malabar Jews) หรือชาวปาร์ซี (Parsis) ของอิหร่าน ซึ่งหลบหนีการข่มเหงรังแกมา ด้วยเหตุนี้ การเนรเทศชาวโรฮิงญาจะกลายเป็นการผละออกจากธรรมเนียมประเพณีแห่งความเมตตากรุณาซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อรูปนโยบายการต่างประเทศของอินเดีย ตลอดจนก่อรูปจุดยืนในระเบียบโลกของแดนภารตะ
เวลานี้ศาลสูงสุดของอินเดียกำลังต้องการทราบถึงจุดยืนของรัฐบาล เกี่ยวกับคำร้องที่ยื่นคัดค้านแผนการของรัฐบาลในการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาออกไปนอกประเทศ [1] เป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดีแน่นอน ถ้าหากรัฐบาลอินเดียจะกระทำอย่างที่ได้ให้ความมั่นอกมั่นใจเอาไวว่า อินเดีย “ไม่ได้กำลังจะยิงทิ้งพวกเขา (ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา) หรือ โยนทิ้งพวกเขาลงไปในมหาสมุทร”
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์จะไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
กูลัม ราซูล เดห์ลวี เป็นนักวิชาการทางด้านอิสลามศึกษาตามแบบแผน, นักวิเคราะห์ด้านวัฒนธรรม, และนักวิจัยในเรื่องสื่อและการสื่อสารศึกษา
หมายเหตุผู้แปล
[1] ศาลสูงสุดของอินเดียกำลังพิจารณาคำร้องคัดค้านการที่รัฐบาลอินเดียสั่งเนรเทศชาวโรฮิงญาจำนวนราว 40,000 คนซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในแดนภารตะ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีได้เสนอรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ 2 ชิ้น คือ Unwanted Rohingya face threats in India and Nepal และ India calls Rohingya a security threat to back deportation caseจึงขอเก็บความสำคัญนำมาเสนอเพิ่มเติมในที่นี้
Unwanted Rohingya face threats in India and Nepal
By AFP
โรฮิงญาที่ไม่มีใครต้องการ เผชิญภัยคุกคามในอินเดียและเนปาล
โดย เอเอฟพี
17/09/2017
ชาวโรฮิงญามุสลิมซึ่งเป็นที่รังเกียจในพม่า และกำลังดิ้นรนเที่ยวหาที่พำนักหลบภัย จะได้รับแจ้งเตือนอีกครั้งในวันจันทร์ (18 ก.ย.) ว่า พวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ในอินเดียเช่นกัน
ขณะที่จำนวนของชาวโรฮิงญาซึ่งกำลังหลบหนีการปราบปรามของทหารพม่า เข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ในบังกลาเทศ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเลยขีด 400,000 คนในระยะเวลา 3 สัปดาห์ รัฐบาลอินเดียก็กำลังต่อสู้ในศาลสูงสุดของประเทศเพื่อที่จะยืนยันดำเนินการขับไล่ชาวโรฮิงญาซึ่งอาจจะมีจำนวนสูงถึง 40,000 คนที่เดินทางเข้าไปในระยะเวลา 10 ปีหลังนี้
ตามรายงานของสื่อหลายกระแส รัฐบาลอินเดียจะต่อสู้คดีโดยใช้เหตุผลว่าชาวโรฮิงญาป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยที่พวกเขาอาจจะช่วยเหลือผู้ก่อการร้าย
บรรดานักรณรงค์เรียกร้องสิทธิพลเมือง และ ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ต่างคัดค้านความเคลื่อนไหวเช่นนี้อย่างอินเดียอย่างแรงกล้า
นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังตั้งคำถามว่า กระทั่งศาลสูงสุดมีคำตัดสินออกมาในทางที่พึงปรารถนาแล้ว รัฐบาลอินเดียจะสามารถเนรเทศชาวโรฮิงญาเหล่านี้ไปที่ไหนได้
ชะตากรรมของชาวโรฮิงญาในอินเดีย และกระทั่งในชาติเพื่อนบ้านอย่างเนปาล ตอกย้ำให้ถึงความยากลำบากที่ประชาคมระหว่างประเทศเผชิญอยู่ ในการหาที่พักอาศัยระยะยาวให้แก่พวกเขา
ชาวโรฮิงญาเดินทางออกมาจากพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่กองทัพพม่าจะเปิดการปราบปรามอย่างนองเลือดเหี้ยมโหดในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้คนเหล่านี้พากันหลบหนีแบบทะลักทลาย
ขณะที่บังกลาเทศถือเป็นจุดหมายปลายทางหลัก แต่ก็มีบางคนไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ โดยทั้งหมดมักถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมแออัด
ในอินเดียนั้น ตามตัวเลขของสหประชาชาติระบุว่ามีชาวโรฮิงญาลงทะเบียนเอาไว้จำนวน 16,000 คน แต่เข้าใจกันว่าจำนวนจริงๆ น่าจะเยอะกว่านี้มาก โดยอยู่ในอินเดียแบบไม่มีหลักฐานใดๆ
พวกเจ้าหน้าที่ทางการอินเดียบอกว่า มีเกือบๆ 7,000 คนอาศัยกันอยู่ตามชุมชนแออัดในชัมมู (Jammu) ซึ่งเป็นดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย โดยพวกเขาเริ่มมาถึงที่นี่ในปี 2008
ชัมมูเองนั้นประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู แต่ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และรัฐบาลกลางในนิวเดลีมีการสู้รบกับพวกแบ่งแยกดินแดนชาวมุสลิมในรัฐนี้มาอย่างยาวนานแล้ว
ขอตายที่นี่ดีกว่าถูกส่งตัวกลับพม่า
ชาวโรฮิงญาในชัมมูส่วนใหญ่มีชีวิตรอดด้วยการเก็บขยะพลาสติกมารีไซเคิล หรือไม่เป็นแรงงานรับจ้าง
พวกเขาบอกว่าที่นั่นแสดงความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อพวกเขาอย่างเปิดเผยชัดเจน
พรรคภารติยะ ชนะตะ ที่เป็นพรรคผู้ปกครองในชัมมู (และเป็นพรรคผู้ปกครองอินเดียด้วย นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ก็สังกัดพรรคนี้) ได้ยื่นขอคำสั่งศาลเพื่อขับไล่พวกเขาออกไปจากดินแดนนี้ กลุ่มธุรกิจกลุ่มหนึ่งข่มขู่ที่จะฆ่าชาวโรฮิงญา ถ้าไม่ยอมอพยพออกไป
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีวัวตายตัวหนึ่งถูกพบอยู่ใกล้ๆ ชุมชนชาวโรฮิงญาแห่งหนึ่งบริเวณชานเมืองชัมมู ตามคำบอกเล่าของ ชาฟี อาลัม ชาวโรฮิงญาซึ่งมาถึงที่นี่เมื่อปี 2008 พวกนักเคลื่อนไหวชาวฮินดูได้เผาชุมชนแออัดของชาวโรฮิงญาโดยกล่าวหาว่าคนเหล่านี้คือผู้ฆ่าวัว ซึ่งถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนาฮินดู
“ก่อนหน้านี้มีปัญหาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกเป็นศัตรูเพิ่มขึ้นมากมายตั้งแต่เกิดกรณีเรื่องวัว พวกเราต้องหลบหนีจากที่นั่นและตอนนี้มีราว 100 ครอบครัวต้องอาศัยอยู่กันกลางแจ้ง” ชาฟี อาลัม วัย 52 ปี บอก
ในกรุงนิวเดลี มีครอบครัวชาวโรฮิงญา 47 ครอบครัวพำนักอยู่ในห้องชำรุดทรุดโทรมเต็มทีของค่ายคันชัน คุนจ์
พวกเขาบอกว่ายินดีที่จะมีชีวิตอย่างทุกข์ยากที่นี่ มากกว่าจะเดินทางกลับไปเชิญนรกในพม่า
ชาวโรฮิงญาซึ่งอยู่ที่นี่คนหนึ่งคือ โมฮัมหมัด ซาลิมุลลาห์ เจ้าของร้านขายของชำ และก็เป็น 1 ใน 2 ชาวโรฮิงญาซึ่งยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเนรเทศของรัฐบาลต่อศาลสูงสุด
“ตอนอยู่บ้านเดิม ไก่ที่พวกเราเลี้ยงก็ถูกขังอยู่ในเล้าซึ่งใหญ่กว่าห้องที่พวกเราอยู่กันที่นี่เวลานี้” เขาบอก
แต่เขากล่าวว่าทั้งพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลและพวกตำรวจอินเดียคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ และเขาประกาศว่า “ศรัทธาเต็มที่” ในศาลสูงสุด “เรายินดีให้รัฐบาล(อินเดีย)ฆ่าเราหรือจับเราขังคุก มากกว่าที่จะเอาเราเนรเทศกลับไปที่นั่น (พม่า)
“ถ้าเรากลับไปที่นั่น พวกเขาจะหั่นเราเป็นชิ้นๆ เอาพวกเรา 10-15 คนมารวมกัน แล้วก็จุดไฟเผา”
“ดินแดนต่างชาติ”
ในเนปาล ประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย ชาวโรฮิงญาราว 250 คนซึ่งอาศัยอยู่ในสลัมเสื่อมโทรมบริเวณตอนเหนือของกรุงกาฐมาณฑุ กำลังใจจดใจจ่อรอคอยข่าวคราวของญาติพี่น้องที่กำลังหลบหนีออกจากรัฐยะไข่
ราฟิก อาลัม วัย 28 ปี ซึ่งเดินทางมาถึงที่นี่พร้อมภรรยาและลูกชาย 2 คนภายหลังเกิดความรุนแรงในยะไข่เมื่อปี 2012 บอกว่าหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของเขา “เวลานี้เหมือนกับเป็นทุ่งนาไปแล้ว พวกเขาเผาทิ้งทั้งหมู่บ้านจนกระทั่งเหลือแต่ขี้เถ้า”
รัฐบาลเนปาลนั้นไม่มีแผนการใดๆ ที่จะดำเนินการในทางลบต่อชาวโรฮิงญา ถึงแม้ชุมชนแห่งนี้ต้องประสบกับการคุกคามรังควาน ตลอดจนต้องดิ้นรนหนักเพื่อหางานทำ
ขณะเดียวกันเนปาลยังกำลังเพิ่มความพยายามป้องกันไม่ให้มีชาวโรฮิงญาเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
“เนปาลได้เพิ่มการตรวจตราชายแดนเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีชาวโรฮิงญาเข้าประเทศเพิ่มขึ้น ภายหลังเกิดวิกฤตชาวโรฮิงญาขึ้นในพม่า เพราะเราไม่สามารถแบกรับวิกฤตอะไรได้มากกว่านี้แล้ว” โฆษกกระทรวงมหาดไทยเนปาล ราม กฤษณะ ซูเบดี กล่าว
ทั้งนี้เนปาลกำลังอย่างระหว่างการฟื้นฟูบูรณะประเทศภายหลังเกิดแผ่นดินไหวที่สร้างความหายนะเลวร้ายในปี 2015 แล้วถัดจากนั้นยังเจอภัยน้ำท่วมอีกหลายครั้ง
ถึงแม้พวกเขามีความหวาดกลัวม็อบชาวพุทธในยะไข่ แต่ชาวโรฮิงญาบางคนยังคงบอกว่า พวกเขาคิดถึงบ้าน
“ลงท้ายแล้วถึงยังไงที่นี่ก็ยังเป็นดินแดนต่างชาติสำหรับพวกเราอยู่ดี” ซาลิมุลลาห์ กล่าวในนิวเดลี
“ผมรู้สึกจริงๆ เหมือนกับว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับบ้าน เพราะพ่อแม่เราคลอดพวกเราที่บ้าน แต่สำหรับเด็กๆ ที่นี่ พวกเขาคลอดออกมาตามถนน ในสลัม แล้วลูกหลานของพวกเขาล่ะจะเป็นยังไง?
“เมื่อพวกเขาโตขึ้นมา พวกเขาจะไม่สามารถพูดว่า 'นี่คือบ้านของเรา นี่คือประเทศของเรา'”
India calls Rohingya a security threat to back deportation case
By AFP
อินเดียระบุโรฮิงญาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงจึงต้องเนรเทศ
โดย เอเอฟพี
18/09/2017
รัฐบาลอินเดียแถลงต่อศาลสูงสุดของประเทศในวันจันทร์ (18 ก.ย.) ว่า ชาวโรฮิงญามุสลิมที่หลบหนีมาจากพม่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงอย่างร้ายแรง จึงเป็นเรื่องชอบธรรมสมเหตุสมผลที่จะดำเนินการเนรเทศผู้ลี้ภัยเหล่านี้ซึ่งอาจจะมีจำนวนสูงถึง 40,000 คน
มูเคช มิตตัล เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงมหาดไทยอินเดีย แถลงว่าศาลสูงสุดต้องอนุญาตให้รัฐบาลตัดสินใจเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาวอินเดีย เพราะโรฮิงญามีความโยงใยกับกลุ่มสุดโต่งต่างๆ
“ชาวโรฮิงญาบางคนซึ่งมีภูมิหลังเป็นพวกหัวรุนแรง ยังพบด้วยว่ากำลังเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นมากทั้งในชัมมู, เดลี, ไฮเดอราบัด, และเมวัต และถูกระบุตัวว่ากำลังจะเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงยิ่งต่อความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย” มิตตัลระบุในคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งส่งให้ศาลสูงสุด
คำให้การนี้ยังตอกย้ำถึง “ความเป็นไปได้อันร้ายแรง” ที่จะเกิด “การปะทุขึ้นของความรุนแรงซึ่งมุ่งคัดค้านต่อต้านชาวพุทธที่เป็นพลเมืองอินเดียและพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนของอินเดีย”
มิตตัลบอกด้วยว่า รัฐบาลได้ข่าวกรองซึ่งบ่งชี้ให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ตลอดจนกับกลุ่มสุดโต่งอื่นๆ
พวกผู้นำชุมชนชาวโรฮิงญาได้ปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องโยงใยใดๆ กับลัทธิหัวรุนแรงอิสลามิสต์
คำให้การของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียนี้ ออกมาเพื่อโต้แย้งคำร้องที่ยื่นต่อศาลสูงสุด คัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลที่ให้เนรเทศชาวโรฮิงญาซึ่งจำนวนมากอยู่ในอินเดียมาเป็นสิบปี
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังตั้งคำถามว่าอินเดียจะสามารถเนรเทศชาวโรฮิงญาไปที่ไหนได้
ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก รบเร้าอินเดียให้กระทำตามหลักการระหว่างประเทศในเรื่องการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปยังดินแดนหรือถิ่นฐาน ซึ่งชีวิตและเสรีภาพของพวกเขาจะถูกคุกคาม
ทั้งนี้ ศาลสูงสุดอินเดียนัดหมายพิจารณาคดีนี้ต่อไปอีกในเดือนหน้า
Why aren’t Muslim countries absorbing the Rohingya?
By Ghulam Rasool Dehlvi
12/09/2017
หลายประเทศมุสลิมซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มชาติมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของโลก ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและบริจาคเงินทองก้อนโตให้แก่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่เป็นมุสลิม ทว่าพวกเขาหยุดอยู่แค่นั้นไม่ได้ช่วยแบกรับดูดซับผู้คนเหล่านี้เข้าไปเป็นพลเมืองหรือแม้กระทั่งเข้าไปพำนักในฐานะผู้ลี้ภัย ในอีกด้านหนึ่งเรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมพวกผู้นำมุสลิมชาวอินเดียจึงยังคงทำตัวเป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ที่เงียบเฉย เมื่อสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยทางศาสนาได้ถูกล่วงละเมิดในประเทศที่ประชากรแทบทั้งหมดเป็นมุสลิม ไม่ว่าจะที่ปากีสถาน, บังกลาเทศ, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, อียิปต์, ตลอดจนส่วนอื่นๆ ของโลกอิสลาม?
เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Human Rights) เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน (Zeid Ra’ad Al Hussein) ได้กล่าวคำแถลงชวนแสบร้อนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์พม่าว่ากำลังกระทำการข่มเหงรังแกอย่างเป็นระบบต่อชาวชาติพันธุ์โรฮิงญาผู้นับถือศาสนามุสลิม (ดูรายละเอียดคำแถลงนี้ได้ที่ http://www.ohchr.org/EN/NewsEvents/Pages/media.aspx)
คำแถลงดังกล่าวนี้เป็นการยืนยันความหวาดกลัวอย่างเลวร้ายที่สุดของพวกเราที่ว่า ผู้หญิงและเด็กๆ กำลังถูกสังหารหมู่ และผู้ชายทั้งที่ยังเยาว์วัยและที่แก่ชรากำลังตกเป็นเป้าหมายของความทารุณเหี้ยมโหดซึ่งกระทำอย่างเป็นระบบ ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออันวิกฤตยิ่งนี้เอง การที่รัฐบาลอินเดียตัดสินใจให้เนรเทศพวกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาออกไป จึงกำลังถูกตั้งคำถามจากพวกผู้นำมุสลิมตลอดจนปัญญาชนชาวอินเดีย ผู้ซึ่งเชื่อว่าการตัดสินใจเช่นนี้เป็นการขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณีแห่ง Vasudhaiva Kutumbakam (ทั่วโลกเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวกัน) ของอินเดีย
ไซเอด โมฮัมหมัด อัชราฟ คิชฮาวชวี (Syed Mohammad Ashraf Kichhauchwi) ผู้ก่อตั้งและประธานของคณะกรรมการอุลามะและมาชัยค์ทั่วประเทศอินเดีย (All-India Ulama & Mashaikh Board หรือ AIUMB) เรียกร้องว่า รัฐบาลอินเดียควรที่จะหาที่พำนักพักพิงให้แก่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ขณะที่ ไซเอด ซัลมาน ชิชตี (Syed Salman Chishti) นักเคลื่อนไหวผู้เผยแพร่แนวคิดซูฟี (Sufi) ชื่อดังแห่ง ดะร์กะห์ อัจเมอร์ ชาริฟ (Dargah Ajmer Sharif) บอกว่า “คำกล่าวที่ว่า Atithi devo bhava (อาคันตุกะผู้มาเยือนเปรียบได้ดังพระผู้เป็นเจ้า) ไม่ควรกลายเป็นเพียงคำขวัญโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับกรมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ควรต้องเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกและปักหลักอย่างมั่นคงของอินเดียอีกด้วย”
ทว่าคำถามสำคัญมากประการหนึ่งซึ่งมักถูกมองข้ามอยู่เสมอก็คือว่า ทำไมพวกประเทศมุสลิมจำนวนมากจึงเงียบเฉยไม่ได้ก้าวเข้ามาช่วยแบกรับดูดซับชาวโรฮิงญาผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนเหล่านี้? ตามรายงานที่ใช้ชื่อว่า Left Out In The Cold (ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความหนาวเย็น ดูได้ที่ https://www.amnesty.org/en/documents/MDE24/047/2014/en/) ซึ่งออกเผยแพร่เมื่อปี 2014 ขององค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) พวกประเทศในกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council) ซึ่งประกอบด้วยซาอุดีอาระเบีย, บาห์เรน, คูเวต, กาตาร์, โอมาน, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ล้วนแต่ล้มเหลวไม่ได้ดูดซับช่วยรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียแม้แต่คนเดียว นับแต่ที่เกิดวิกฤตร้ายแรงในประเทศนั้นขึ้นมาเมื่อปี 2011
กลุ่มองค์กรของชาวมุสลิมอินเดีย อย่างเช่น AIUMB, จามิอัต อุล-อุลามะ-อี ฮินด์ (Jamiat ul-Ulama-e Hind หรือ JUH), และ จามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (Jamaat-e-Islami Hind หรือ JIH) ต่างออกมารบเร้าอย่างถูกต้อง ให้รัฐบาลอินเดีย, สหประชาชาติ, และองค์กรสิทธิมนุษยชนระวห่างประเทศต่างๆ เข้าช่วยเหลือชาวโรฮิงญา ผู้ซึ่งตามการคาดคะเนประเมินสถานการณ์ของบางฝ่ายนั้น พวกเขากำลังเผชิญกับการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยน้ำมือของพวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบชาวพม่าในแคว้นยะไข่
ขณะที่แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเข่นฆ่าชาวโรฮิงญา มาวลานา ไซเอด จาลาลุดดิน อุมารี (Maulana Syed Jalaluddin Umari) ประธานของ จามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (JIH) ได้เรียกร้องว่าทั้งสหประชาชาติ, องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Cooperation หรือ OIC), และองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ควรต้อง “เข้ากดดันให้รัฐบาล (พม่า) ยุติการฆ่าฟันเพื่อนร่วมชาติของพวกเขาเอง, ฟื้นฟูมอบคืนฐานะความเป็นพลเมืองของผู้คนเหล่านี้, ยกเลิกข้อห้ามข้อจำกัดการเดินทางของพวกเขา, และเน้นหนักให้ความสำคัญกับการยกระดับทางสังคมและทางเศรษฐกิจของพวกเขา” ดังที่รายงานเอาไว้ในวารสาร อินเดีย ทูมอร์โรว์ (India Tomorrow) ปากเสียงของกลุ่มจามาอัต-อี-อิสลามี ฮินด์ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.indiatomorrow.net/eng/jamaat-urges-govt-of-india-united-nations-to-help-rohingya-muslims)
ในทำนองเดียวกัน จามิอัต อุล-อุลามะ-อี ฮินด์ (JUH) ได้รบเร้าให้สหประชาชาติจัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อกำหนดเส้นตายที่พม่าต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา JUH ยังรบเร้าให้รัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ชาวโรฮิงญาที่กำลังดิ้นรนหาที่ลี้ภัยสามารถพักพิงหลบภัยในอินเดียได้ “ในเรื่องนี้ อินเดียวควรกระทำตามบรรดาชาติพัฒนาแล้ว เป็นต้นว่าสหภาพยุโรป” JUH ระบุ ทั้งนี้ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์ ออฟ อินเดีย
ทว่ากลุ่มองค์กรอิสลามในอินเดียเหล่านี้ แทบไม่ได้ส่งเสียงแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาอย่างเปิดเผยเลย เมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันหนักหนาสาหัสชวนสลดใจ บังเกิดขึ้นในประดาประเทศที่ประชากรแทบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม ด้วยน้ำมือของระบอบปกครองที่เป็นมุสลิม หรือด้วยน้ำมือของพวกกลุ่มองค์กรก่อการร้ายอิสลามิสต์ ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับนับถือกันเฉพาะสำหรับชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมซึ่งพำนักอาศัยอยู่ในพวกประเทศที่ไม่ใช่อิสลามเท่านั้นหรือ? พวกอุลามะ (ผู้รู้ผู้สอนศาสนาอิสลาม) และพวกผู้นำอิสลามเคยออกมาประณามหรือไม่ เมื่อมีเด็กสาวมุสลิมจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนถูกลักพาตัวและถูกปลูกฝังสั่งสอนให้เชื่อในแนวความคิดของพวก “รัฐอิสลาม” แล้วจากนั้นก็ถูกใช้ประโยชน์และต้องล้มตายบาดเจ็บพิกลพิการ ในนามของ “การทำญิฮาดด้วยการสมรส” (Nikah al-Jihad) ?
วิกฤตโรฮิงญาโดยสาระสำคัญแล้วคือประเด็นปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน แน่นอนทีเดียว แผนการของรัฐบาลอินเดียที่จะเนรเทศชาวโรฮิงญาออกไปประมาณ 40,000 คน เป็นเรื่องซึ่งไปด้วยกันไม่ได้กับลักษณะพื้นฐานร่วมกันทางด้านสังคมของประเทศนี้ ที่เน้นความหลากหลายมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษแล้ว อินเดียมีประวัติยาวนานในการเข้าช่วยเหลือประชากรผู้อ่อนแอที่กำลังหลบหนีออกมาจากพวกประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นศรีลังกา, อัฟกานิสถาน, หรือทิเบต สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาบนพื้นฐานทางด้านมนุษยธรรม ไม่ใช่บนพื้นฐานเรื่องศาสนา พวกที่กำลังพยายามตัดสินวินิจฉัยชะตากรรมของผู้ลี้ภัยเหล่านี้บนพื้นฐานของศาสนาแทนที่จะเป็นเรื่องมนุษยธรรมนั้น ต้องถือว่ามีแรงจูงใจที่แฝงเร้น
เป็นเรื่องซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่รัฐบาลอินเดียจะต้องยกเลิกเกณฑ์ทางศาสนาที่กำหนดอยู่ในกฎหมายผู้ลี้ภัยของตนฉบับปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียนั้นได้เสนอที่จะแก้ไขรัฐบัญญัติพลเมืองปี 1955 (Citizenship Act, 1955) เพื่อทำให้กระบวนการแปลงสัญชาติกระทำได้อย่างสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่จะให้ประโยชน์เฉพาะแก่ผู้คนซึ่งนับถือศาสนาพุทธ, คริสต์, ฮินดู, เชน, โซโรแอสเตอร์, และซิกข์ ซึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อยในประเทศต้นกำเนิดของพวกเขา การยกเว้นไม่รวมเอาชาวมุสลิมที่พลัดถิ่นที่อยู่เข้าไว้ด้วยเช่นนี้ ถือว่าเป็นการละเลยอย่างโจ่งแจ้ง
ถึงแม้อินเดียไม่ได้เป็นผู้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดๆ ซึ่งทำให้เกิดพันธะผูกพันที่จะต้องต้อนรับผู้ลี้ภัย แต่ประเทศนี้ก็ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยที่หลบหนีสงครามความขัดแย้งและภัยพิบัติหายนะต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสต์ซีเรีย, ชาวยิวมาลาบาร์ (Malabar Jews) หรือชาวปาร์ซี (Parsis) ของอิหร่าน ซึ่งหลบหนีการข่มเหงรังแกมา ด้วยเหตุนี้ การเนรเทศชาวโรฮิงญาจะกลายเป็นการผละออกจากธรรมเนียมประเพณีแห่งความเมตตากรุณาซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อรูปนโยบายการต่างประเทศของอินเดีย ตลอดจนก่อรูปจุดยืนในระเบียบโลกของแดนภารตะ
เวลานี้ศาลสูงสุดของอินเดียกำลังต้องการทราบถึงจุดยืนของรัฐบาล เกี่ยวกับคำร้องที่ยื่นคัดค้านแผนการของรัฐบาลในการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาออกไปนอกประเทศ [1] เป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดีแน่นอน ถ้าหากรัฐบาลอินเดียจะกระทำอย่างที่ได้ให้ความมั่นอกมั่นใจเอาไวว่า อินเดีย “ไม่ได้กำลังจะยิงทิ้งพวกเขา (ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา) หรือ โยนทิ้งพวกเขาลงไปในมหาสมุทร”
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์จะไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
กูลัม ราซูล เดห์ลวี เป็นนักวิชาการทางด้านอิสลามศึกษาตามแบบแผน, นักวิเคราะห์ด้านวัฒนธรรม, และนักวิจัยในเรื่องสื่อและการสื่อสารศึกษา
หมายเหตุผู้แปล
[1] ศาลสูงสุดของอินเดียกำลังพิจารณาคำร้องคัดค้านการที่รัฐบาลอินเดียสั่งเนรเทศชาวโรฮิงญาจำนวนราว 40,000 คนซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในแดนภารตะ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีได้เสนอรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ 2 ชิ้น คือ Unwanted Rohingya face threats in India and Nepal และ India calls Rohingya a security threat to back deportation caseจึงขอเก็บความสำคัญนำมาเสนอเพิ่มเติมในที่นี้
Unwanted Rohingya face threats in India and Nepal
By AFP
โรฮิงญาที่ไม่มีใครต้องการ เผชิญภัยคุกคามในอินเดียและเนปาล
โดย เอเอฟพี
17/09/2017
ชาวโรฮิงญามุสลิมซึ่งเป็นที่รังเกียจในพม่า และกำลังดิ้นรนเที่ยวหาที่พำนักหลบภัย จะได้รับแจ้งเตือนอีกครั้งในวันจันทร์ (18 ก.ย.) ว่า พวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ในอินเดียเช่นกัน
ขณะที่จำนวนของชาวโรฮิงญาซึ่งกำลังหลบหนีการปราบปรามของทหารพม่า เข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ในบังกลาเทศ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเลยขีด 400,000 คนในระยะเวลา 3 สัปดาห์ รัฐบาลอินเดียก็กำลังต่อสู้ในศาลสูงสุดของประเทศเพื่อที่จะยืนยันดำเนินการขับไล่ชาวโรฮิงญาซึ่งอาจจะมีจำนวนสูงถึง 40,000 คนที่เดินทางเข้าไปในระยะเวลา 10 ปีหลังนี้
ตามรายงานของสื่อหลายกระแส รัฐบาลอินเดียจะต่อสู้คดีโดยใช้เหตุผลว่าชาวโรฮิงญาป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยที่พวกเขาอาจจะช่วยเหลือผู้ก่อการร้าย
บรรดานักรณรงค์เรียกร้องสิทธิพลเมือง และ ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ต่างคัดค้านความเคลื่อนไหวเช่นนี้อย่างอินเดียอย่างแรงกล้า
นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังตั้งคำถามว่า กระทั่งศาลสูงสุดมีคำตัดสินออกมาในทางที่พึงปรารถนาแล้ว รัฐบาลอินเดียจะสามารถเนรเทศชาวโรฮิงญาเหล่านี้ไปที่ไหนได้
ชะตากรรมของชาวโรฮิงญาในอินเดีย และกระทั่งในชาติเพื่อนบ้านอย่างเนปาล ตอกย้ำให้ถึงความยากลำบากที่ประชาคมระหว่างประเทศเผชิญอยู่ ในการหาที่พักอาศัยระยะยาวให้แก่พวกเขา
ชาวโรฮิงญาเดินทางออกมาจากพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่กองทัพพม่าจะเปิดการปราบปรามอย่างนองเลือดเหี้ยมโหดในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้คนเหล่านี้พากันหลบหนีแบบทะลักทลาย
ขณะที่บังกลาเทศถือเป็นจุดหมายปลายทางหลัก แต่ก็มีบางคนไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ โดยทั้งหมดมักถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมแออัด
ในอินเดียนั้น ตามตัวเลขของสหประชาชาติระบุว่ามีชาวโรฮิงญาลงทะเบียนเอาไว้จำนวน 16,000 คน แต่เข้าใจกันว่าจำนวนจริงๆ น่าจะเยอะกว่านี้มาก โดยอยู่ในอินเดียแบบไม่มีหลักฐานใดๆ
พวกเจ้าหน้าที่ทางการอินเดียบอกว่า มีเกือบๆ 7,000 คนอาศัยกันอยู่ตามชุมชนแออัดในชัมมู (Jammu) ซึ่งเป็นดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย โดยพวกเขาเริ่มมาถึงที่นี่ในปี 2008
ชัมมูเองนั้นประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู แต่ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และรัฐบาลกลางในนิวเดลีมีการสู้รบกับพวกแบ่งแยกดินแดนชาวมุสลิมในรัฐนี้มาอย่างยาวนานแล้ว
ขอตายที่นี่ดีกว่าถูกส่งตัวกลับพม่า
ชาวโรฮิงญาในชัมมูส่วนใหญ่มีชีวิตรอดด้วยการเก็บขยะพลาสติกมารีไซเคิล หรือไม่เป็นแรงงานรับจ้าง
พวกเขาบอกว่าที่นั่นแสดงความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อพวกเขาอย่างเปิดเผยชัดเจน
พรรคภารติยะ ชนะตะ ที่เป็นพรรคผู้ปกครองในชัมมู (และเป็นพรรคผู้ปกครองอินเดียด้วย นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ก็สังกัดพรรคนี้) ได้ยื่นขอคำสั่งศาลเพื่อขับไล่พวกเขาออกไปจากดินแดนนี้ กลุ่มธุรกิจกลุ่มหนึ่งข่มขู่ที่จะฆ่าชาวโรฮิงญา ถ้าไม่ยอมอพยพออกไป
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีวัวตายตัวหนึ่งถูกพบอยู่ใกล้ๆ ชุมชนชาวโรฮิงญาแห่งหนึ่งบริเวณชานเมืองชัมมู ตามคำบอกเล่าของ ชาฟี อาลัม ชาวโรฮิงญาซึ่งมาถึงที่นี่เมื่อปี 2008 พวกนักเคลื่อนไหวชาวฮินดูได้เผาชุมชนแออัดของชาวโรฮิงญาโดยกล่าวหาว่าคนเหล่านี้คือผู้ฆ่าวัว ซึ่งถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนาฮินดู
“ก่อนหน้านี้มีปัญหาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกเป็นศัตรูเพิ่มขึ้นมากมายตั้งแต่เกิดกรณีเรื่องวัว พวกเราต้องหลบหนีจากที่นั่นและตอนนี้มีราว 100 ครอบครัวต้องอาศัยอยู่กันกลางแจ้ง” ชาฟี อาลัม วัย 52 ปี บอก
ในกรุงนิวเดลี มีครอบครัวชาวโรฮิงญา 47 ครอบครัวพำนักอยู่ในห้องชำรุดทรุดโทรมเต็มทีของค่ายคันชัน คุนจ์
พวกเขาบอกว่ายินดีที่จะมีชีวิตอย่างทุกข์ยากที่นี่ มากกว่าจะเดินทางกลับไปเชิญนรกในพม่า
ชาวโรฮิงญาซึ่งอยู่ที่นี่คนหนึ่งคือ โมฮัมหมัด ซาลิมุลลาห์ เจ้าของร้านขายของชำ และก็เป็น 1 ใน 2 ชาวโรฮิงญาซึ่งยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเนรเทศของรัฐบาลต่อศาลสูงสุด
“ตอนอยู่บ้านเดิม ไก่ที่พวกเราเลี้ยงก็ถูกขังอยู่ในเล้าซึ่งใหญ่กว่าห้องที่พวกเราอยู่กันที่นี่เวลานี้” เขาบอก
แต่เขากล่าวว่าทั้งพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลและพวกตำรวจอินเดียคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ และเขาประกาศว่า “ศรัทธาเต็มที่” ในศาลสูงสุด “เรายินดีให้รัฐบาล(อินเดีย)ฆ่าเราหรือจับเราขังคุก มากกว่าที่จะเอาเราเนรเทศกลับไปที่นั่น (พม่า)
“ถ้าเรากลับไปที่นั่น พวกเขาจะหั่นเราเป็นชิ้นๆ เอาพวกเรา 10-15 คนมารวมกัน แล้วก็จุดไฟเผา”
“ดินแดนต่างชาติ”
ในเนปาล ประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย ชาวโรฮิงญาราว 250 คนซึ่งอาศัยอยู่ในสลัมเสื่อมโทรมบริเวณตอนเหนือของกรุงกาฐมาณฑุ กำลังใจจดใจจ่อรอคอยข่าวคราวของญาติพี่น้องที่กำลังหลบหนีออกจากรัฐยะไข่
ราฟิก อาลัม วัย 28 ปี ซึ่งเดินทางมาถึงที่นี่พร้อมภรรยาและลูกชาย 2 คนภายหลังเกิดความรุนแรงในยะไข่เมื่อปี 2012 บอกว่าหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของเขา “เวลานี้เหมือนกับเป็นทุ่งนาไปแล้ว พวกเขาเผาทิ้งทั้งหมู่บ้านจนกระทั่งเหลือแต่ขี้เถ้า”
รัฐบาลเนปาลนั้นไม่มีแผนการใดๆ ที่จะดำเนินการในทางลบต่อชาวโรฮิงญา ถึงแม้ชุมชนแห่งนี้ต้องประสบกับการคุกคามรังควาน ตลอดจนต้องดิ้นรนหนักเพื่อหางานทำ
ขณะเดียวกันเนปาลยังกำลังเพิ่มความพยายามป้องกันไม่ให้มีชาวโรฮิงญาเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
“เนปาลได้เพิ่มการตรวจตราชายแดนเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีชาวโรฮิงญาเข้าประเทศเพิ่มขึ้น ภายหลังเกิดวิกฤตชาวโรฮิงญาขึ้นในพม่า เพราะเราไม่สามารถแบกรับวิกฤตอะไรได้มากกว่านี้แล้ว” โฆษกกระทรวงมหาดไทยเนปาล ราม กฤษณะ ซูเบดี กล่าว
ทั้งนี้เนปาลกำลังอย่างระหว่างการฟื้นฟูบูรณะประเทศภายหลังเกิดแผ่นดินไหวที่สร้างความหายนะเลวร้ายในปี 2015 แล้วถัดจากนั้นยังเจอภัยน้ำท่วมอีกหลายครั้ง
ถึงแม้พวกเขามีความหวาดกลัวม็อบชาวพุทธในยะไข่ แต่ชาวโรฮิงญาบางคนยังคงบอกว่า พวกเขาคิดถึงบ้าน
“ลงท้ายแล้วถึงยังไงที่นี่ก็ยังเป็นดินแดนต่างชาติสำหรับพวกเราอยู่ดี” ซาลิมุลลาห์ กล่าวในนิวเดลี
“ผมรู้สึกจริงๆ เหมือนกับว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับบ้าน เพราะพ่อแม่เราคลอดพวกเราที่บ้าน แต่สำหรับเด็กๆ ที่นี่ พวกเขาคลอดออกมาตามถนน ในสลัม แล้วลูกหลานของพวกเขาล่ะจะเป็นยังไง?
“เมื่อพวกเขาโตขึ้นมา พวกเขาจะไม่สามารถพูดว่า 'นี่คือบ้านของเรา นี่คือประเทศของเรา'”
India calls Rohingya a security threat to back deportation case
By AFP
อินเดียระบุโรฮิงญาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงจึงต้องเนรเทศ
โดย เอเอฟพี
18/09/2017
รัฐบาลอินเดียแถลงต่อศาลสูงสุดของประเทศในวันจันทร์ (18 ก.ย.) ว่า ชาวโรฮิงญามุสลิมที่หลบหนีมาจากพม่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงอย่างร้ายแรง จึงเป็นเรื่องชอบธรรมสมเหตุสมผลที่จะดำเนินการเนรเทศผู้ลี้ภัยเหล่านี้ซึ่งอาจจะมีจำนวนสูงถึง 40,000 คน
มูเคช มิตตัล เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงมหาดไทยอินเดีย แถลงว่าศาลสูงสุดต้องอนุญาตให้รัฐบาลตัดสินใจเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาวอินเดีย เพราะโรฮิงญามีความโยงใยกับกลุ่มสุดโต่งต่างๆ
“ชาวโรฮิงญาบางคนซึ่งมีภูมิหลังเป็นพวกหัวรุนแรง ยังพบด้วยว่ากำลังเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นมากทั้งในชัมมู, เดลี, ไฮเดอราบัด, และเมวัต และถูกระบุตัวว่ากำลังจะเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงยิ่งต่อความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย” มิตตัลระบุในคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งส่งให้ศาลสูงสุด
คำให้การนี้ยังตอกย้ำถึง “ความเป็นไปได้อันร้ายแรง” ที่จะเกิด “การปะทุขึ้นของความรุนแรงซึ่งมุ่งคัดค้านต่อต้านชาวพุทธที่เป็นพลเมืองอินเดียและพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนของอินเดีย”
มิตตัลบอกด้วยว่า รัฐบาลได้ข่าวกรองซึ่งบ่งชี้ให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ตลอดจนกับกลุ่มสุดโต่งอื่นๆ
พวกผู้นำชุมชนชาวโรฮิงญาได้ปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องโยงใยใดๆ กับลัทธิหัวรุนแรงอิสลามิสต์
คำให้การของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียนี้ ออกมาเพื่อโต้แย้งคำร้องที่ยื่นต่อศาลสูงสุด คัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลที่ให้เนรเทศชาวโรฮิงญาซึ่งจำนวนมากอยู่ในอินเดียมาเป็นสิบปี
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังตั้งคำถามว่าอินเดียจะสามารถเนรเทศชาวโรฮิงญาไปที่ไหนได้
ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก รบเร้าอินเดียให้กระทำตามหลักการระหว่างประเทศในเรื่องการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปยังดินแดนหรือถิ่นฐาน ซึ่งชีวิตและเสรีภาพของพวกเขาจะถูกคุกคาม
ทั้งนี้ ศาลสูงสุดอินเดียนัดหมายพิจารณาคดีนี้ต่อไปอีกในเดือนหน้า