เอพี/เอจนซีส์/MGR ออนไลน์ - รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ออกมายอมรับกับชาวอเมริกันผ่านหน้าจอทีวีวันอาทิตย์ (17 ก.ย.) ว่าวอชิงตันกำลังตันสินใจสั่งปิดสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮาวานา อ้างเหตุมีเจ้าหน้าที่ล้มป่วยปริศนาไม่ต่ำกว่า 21 คน หลังก่อนหน้าต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมายอมรับ เชื่อ “อาวุธโซนิก” เป็นต้นตออาการประหลาด ตั้งแต่สัมผัสแรงสั่นสะเทือน ไปจนถึงได้ยินเสียงปริศนาแบบไม่มีที่มา
เอพีรายงานวันนี้ว่า ในรายการเผชิญหน้าประเทศ (Face the Nation) ทางสถานี CBS วันอาทิตย์ (17 ก.ย.) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯของทรัมป์ออกมายอมรับว่า สหรัฐฯกำลังพิจารณาที่อาจจะสั่งปิดสำนักงานการทูตของตัวเองในคิวบา
“ทางเราอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ” เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน (Rex Tillerson) กล่าว
เดลีเทเลกราฟรายงานก่อนหน้าว่า ทั้งนี้พบว่านอกจากนักการทูตวอชิงตันที่ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดแล้ว ยังพบว่าเกิดขึ้นกับนักการทูตแคนาดาในกรุงฮาวานาด้วย แต่ทว่าคงไม่สามารถชี้ว่าเป็นปัญหาด้านการเมืองได้ เพราะสื่ออังกฤษชี้ว่า คิวบาและแคนาดามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ในรายงานเมื่อวันที่ 11 ส.ค. เดลีเทเลกราฟกล่าวว่า มีนักการทูตแคนาดาอย่างน้อย 1 คนพร้อมสมาชิกในครอบครัวถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาการป่วยในโรงพยาบาลจากปัญหาปวดศีรษะและการสูญเสียการได้ยิน ซึ่งคล้ายกับที่เกิดขึ้นกับนักการทูตอเมริกัน
เอพีรายงานว่า หลังจากที่เผชิญหน้ามานานกว่า 50 ปี สหรัฐฯ และคิวบาหันกลับมาจับมือกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ พบว่ามีโป๊ปฟรานซิสเป็นกาวใจทำให้เกิดขึ้น และผ่านการเจรจาลับไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง ซึ่งนำมาสู่การเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 มีการเปิดสถานทูตสหรัฐฯขึ้นใหม่ในกรุงฮาวานา และในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินทางไปเยือนกรุงฮาวานาเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2016
โดยในครั้งนั้นถือเป็นวินาทีประวัติศาสตร์ที่ระหว่างผู้นำจากโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ หลังก่อนหน้าโอบามา และประธานาธิบดีคิวบา ราอูล คาสโตร สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก ด้วยการจับมือกันเป็นครั้งแรกในงานพิธีศพของอดีตผู้นำผิวสีแอฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดลา เมื่อเดือนธันวาคม 2013
แอลเอไทม์ส ชี้ว่า โอบามาได้ทุ่มเท 2 ปีสุดท้ายในสมัยการดำรงตำแหน่งเพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและคิวบาให้เกิดขึ้น และส่งผลทำให้เกิดการเปิดเส้นทางการบินระหว่าง 2 ชาติ และเรือเฟอร์รี มีข้อตกลงเครือข่ายโรงแรมชื่อดัง และสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ จากรัฐหลุยเซียนา รัฐแคนซัส และรัฐอื่นๆส่งตรงเข้าคิวบาหลังจากนั้น
แต่ทว่า การประกาศของทิลเลอร์สันเมื่อวานนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งเป็นเสมือนกับความพยายามที่จะลบหนึ่งในหน้าความสำเร็จของโอบามา โดยทางทิลเลอร์สันได้ให้เหตุผลถึงความตั้งใจที่จะสั่งปิดสถานทูตว่า
“เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับอันตรายทางสุขภาพของบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งทางเราได้นำคนเหล่านี้กลับสหรัฐฯ และได้เริ่มต้นการประเมิน”
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า มีกลุ่มของ ส.ว.พรรครีพับลิกัน 5 คนได้ส่งจดหมายไปถึงทิลเลอร์สัน เพื่อขอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศให้ “นักการทูตคิวบากลายเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา” (เพื่อให้คนเหล่านี้ต้องถูกสั่งให้ออกนอกประเทศทันที) และทำการสั่งปิดสถานทูตสหรัฐฯในกรุงฮาวานา
CNN ชี้ว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯในกรุงฮาวานา ตกเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีด้วย “อาวุธคลื่นโซนิก” ที่เป็นปริศนาจนมีอาการล้มป่วยขั้นร้ายแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
เอพีรายงานว่า มีการยืนยันว่าตัวเลขชาวอเมริกันจำนวน 21 คนที่เป็นทั้งเจ้าหน้าที่การทูตและครอบครัวในคิวบาล้มป่วย ซึ่งพบว่า ในอาการป่วยที่พบมีไปจนถึงขั้น สูญเสียการได้ยินอย่างถาวร สมองได้รับความเสียหาย และมีบางส่วนเกิดปัญหาคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และได้ยินเสียงก้องโดยไม่ทราบที่มา
นอกจากนี้ ในบางรายเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯ มีปัญหาไม่สามารถควบคุมสมาธิของตัวเองให้จดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ หรือถึงขั้นไม่สามารถจดจำคำที่ใช้ตามปกติในการสนทนา และมีบางส่วนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาด หรือการได้ยินเสียงที่ปราศจากที่มาในบางพื้นที่ของห้อง และพบว่ามีในบางราย อาการป่วยเกิดขึ้นหลังจากนั้น โดยพบว่าเคสล่าสุดที่ถูกยืนยันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ส.ค.นี้
เอพีชี้ว่า จากอาการทั้งหมดนี้นำมาสู่การสอบสวนของสหรัฐฯ ที่มีการชี้ว่า ***อาจจะเกิดมาจากการถูกอาวุธโซนิกโจมตีคนเหล่านี้จนป่วยหนัก*** ซึ่งเดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษชี้ว่า ถึงแม้ทางสหรัฐฯ จะเชื่อว่าอาจมีการใช้อาวุธโซนิกเพื่อโจมตีคนของสหรัฐฯ ในคิวบาจริง แต่ทางสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่าไม่มีการพบอาวุธต้องสงสัยภายในสถานทูตของตัวเอง ซึ่งการเกิดปัญหาอาการประหลาดที่ว่านี้ย้อนไปตั้งแต่ช่วงสมัยรัฐบาลโอบามา เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงพฤศจิกายน ปลายปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในการออกมาให้ความเห็นของทิลเลอร์สัน ที่ได้กล่าวว่า “เป็นการตกอยู่ในอันตรายด้านสุขภาพ” แต่ทว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯยังไม่ใช้คำนี้ แต่จะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “เป็นสถานการณ์” และยังคงยืนยันว่าสหรัฐฯ ยังคงไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ทางฮาวานาจะออกมาปฏิเสธถึงความเกี่ยวข้องทั้งหมด แต่อ้างว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการสืบสวนเพื่อแก้ข้อสงสัย


