xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: UN เอาจริงคว่ำบาตร “โสมแดง” ชุดใหญ่ ครอบคลุมทั้ง “น้ำมัน-สิ่งทอ-แรงงาน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้นำ คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเอกฉันท์คว่ำบาตรเกาหลีเหนือหนักหน่วงยิ่งกว่าเก่าในสัปดาห์นี้ ทั้งจำกัดการส่งพลังงาน แบนแรงงานโสมแดง และห้ามเกาหลีเหนือส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโสมแดงไม่น้อย ขณะที่จีนและรัสเซียซึ่งใช้อิทธิพลบีบจนสหรัฐฯ ต้องยอมผ่อนปรนบทลงโทษบางอย่างลง ย้ำให้ทุกฝ่ายหวนกลับไปสู่แนวทางเจรจาโดยเร็ว

ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ค. คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเพิ่งจะผ่านมาตรการแซงก์ชันด้วยการห้ามโสมแดงส่งออกถ่านหิน ตะกั่ว และอาหารทะเล เพื่อตอบโต้การยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอาจสามารถถล่มเป้าหมายได้เกือบทั่วแผ่นดินสหรัฐฯ

นิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น ระบุว่า บทลงโทษครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา และเป็นการเตือนว่าโลกจะไม่มีวันยอมให้เกาหลีเหนือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์

เกาหลีเหนืออ้างว่าสิ่งที่นำมาทดสอบล่าสุดคือ “ระเบิดไฮโดรเจน” ซึ่งถูกย่อส่วนให้เล็กพอจะติดตั้งบนหัวรบได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจาก 38 North ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยที่ติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือประเมินว่า ระเบิดนิวเคลียร์ลูกนี้อาจมีอานุภาพร้ายแรงถึง 250 กิโลตัน หรือ 16 เท่าของระเบิดปรมาณู “ลิตเติลบอย” ที่สหรัฐฯ ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นเมื่อปี 1945

เดิมทีนั้นสหรัฐฯ เรียกร้องให้ยูเอ็นปิดกั้นการส่งน้ำมันให้เกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิง และให้มีคำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) รวมถึงอายัดทรัพย์สินในต่างประเทศของ ผู้นำ คิม จอง อึน ด้วย แต่ระหว่างที่คณะมนตรีเปิดการหารือแบบปิดลับในคืนวันอาทิตย์ (10) วอชิงตันได้ยอมปรับแก้บทลงโทษบางอย่างให้เบาลงเพื่อขอการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน

ร่างมติสุดท้ายที่ผ่านความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ห้ามการส่งออกสิ่งทอของเกาหลีเหนือ ลดการจัดส่งก๊าซธรรมชาติแก่โสมแดง กำหนดเพดานการส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นให้เกาหลีเหนือไม่เกิน 2 ล้านบาร์เรลต่อปี และจำกัดการจัดส่งน้ำมันดิบให้เกาหลีเหนือไว้ที่ระดับปัจจุบัน ส่วนข้อเรียกร้องเรื่องการอายัดทรัพย์สินผู้นำคิมนั้นถูกตัดออกไป

มติของยูเอ็นยังห้ามมิให้ประเทศต่างๆ ออกใบอนุญาตทำงานให้แรงงานเกาหลีเหนือ เว้นแต่จะมีเหตุผลด้านมนุษยธรรมรองรับ และต้องรายงานวันหมดอายุของสัญญาที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจรจาระบุว่า ปัจจุบันมีพลเมืองโสมแดงออกไปทำงานในต่างประเทศราว 93,000 คน สร้างรายได้ให้แก่เปียงยางประมาณปีละ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะถูกนำไปใช้เป็นทุนอุดหนุนโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์

ยูเอ็นได้ขอให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกตรวจสอบเรือสินค้าที่เดินทางเข้าและออกจากท่าเรือของเกาหลีเหนือ แต่จะต้องขอความยินยอมจากรัฐบาลที่เป็นเจ้าของเรือเสียก่อน และไม่อนุญาตให้ใช้กำลังบังคับตรวจค้นอย่างที่อเมริกาเสนอไว้ก่อนหน้านี้

นับเป็นครั้งที่ 9 ที่คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้ให้ความเห็นชอบต่อมติลงโทษโสมแดงอย่างไร้เสียงคัดค้าน ตั้งแต่เกาหลีเหนือเริ่มทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกเมื่อปี 2006 โดยสหรัฐฯ นั้นหวังว่าบทลงโทษที่เจ็บแสบคราวนี้จะกดดันให้ผู้นำคิมยอมกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อยุติการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ขณะที่รัสเซียและจีนเรียกร้องให้อเมริกายื่นหมูยื่นแมวด้วยการหยุดซ้อมรบประจำปีกับเกาหลีใต้เช่นกัน แต่วอชิงตันไม่ยินยอม

สำนักงานข้อมูลพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการแซงก์ชันครั้งนี้จะลดการส่งน้ำมันจากจีนเข้าไปยังเกาหลีเหนือได้ราว 10% ส่วนการแบนส่งออกสิ่งทอก็จะทำให้เกาหลีเหนือขาดรายได้ถึงปีละ 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศกร้าวในวันพุธ (13 ก.ย.) ว่าจะยกระดับโครงการพัฒนาอาวุธให้ก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อตอบโต้มติคว่ำบาตร “อันชั่วร้าย” ของคณะมนตรียูเอ็น โดยสำนักข่าวเคซีเอ็นเอได้เผยแพร่ถ้อยแถลงของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือซึ่งระบุว่า “การออกมติคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมายและชั่วร้ายตามการชี้นำของสหรัฐฯ อีกครั้ง เป็นโอกาสให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK) ได้พิสูจน์ว่า เส้นทางที่เราเลือกเดินมานั้นถูกต้องที่สุดแล้ว... เกาหลีเหนือจะใช้ความพยายามอีกเป็นทวีคูณในการเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องอธิปไตยและสิทธิในการดำรงอยู่ของชาติเรา”
ลี มี ซอน ผู้อำนวยการศูนย์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟแห่งชาติเกาหลีใต้ ชี้ไปยังจุดที่เกิดแผ่นดินไหวเทียมจากการทดสอบนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.
จีนนั้นเกรงว่าการงดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิงอาจนำไปสู่การล่มสลายของระบอบคิม ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายจีนเองเลย ขณะที่นักการทูตอังกฤษบางคนแสดงความเป็นห่วงอย่างเงียบๆ ว่า ถ้าหากสหรัฐฯ ดันร่างมติฉบับเดิมผ่านคณะมนตรียูเอ็นสำเร็จ โลกอาจจะได้เห็นเปียงยางโชว์ภาพเด็กๆ ในเกาหลีเหนือหนาวตายเป็นเบือในฤดูหนาวปีนี้ พร้อมกับประณามตะวันตกว่ารวมหัวกันสังหารหมู่พลเรือนตาดำๆ

แม้จีนจะไม่เคยเปิดเผยปริมาณน้ำมันดิบที่ลำเลียงผ่านท่อส่งน้ำมันเก่าแก่เข้าไปยังเกาหลีเหนือ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมได้ให้ตัวเลขเอาไว้ที่ราวๆ 520,000 ตันต่อปี

ผลการศึกษาจากสถาบันนานาชาติเพื่อยุทธศาสตร์ศึกษาในกรุงลอนดอนเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า การปิดกั้นน้ำมันอย่างสิ้นเชิงนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อเกาหลีเหนือมากนักในระยะยาว เนื่องจากเปียงยางสามารถนำเชื้อเพลิงเหลวจากถ่านหิน (liquefied coal) มาใช้ทดแทนได้

สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ ชี้ว่า เกาหลีเหนือใช้น้ำมันดิบลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษ 1970-80 โดยปริมาณการใช้น้ำมันดิบลดลงจากระดับ 76,000 บาร์เรลต่อวันในปี 1991 เหลือเพียงราวๆ 15,000 บาร์เรลต่อวันในปีที่แล้ว

ครัวเรือนในเกาหลีเหนือก็เริ่มใช้ประโยชน์จากพลังงานจากแสงอาทิตย์กันอย่างแพร่หลาย โดยตามระเบียงอพาร์ตเมนต์จะมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานสำหรับหุงต้มและให้แสงสว่าง

ชุน ยุง-วู อดีตผู้แทนที่เกาหลีใต้ส่งไปเจรจาปัญหานิวเคลียร์กับโสมแดง ระบุว่า เกาหลีเหนืออาจจะทนอยู่ได้ 1-2 ปีโดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันน้ำเข้าจากต่างประเทศเลย

“คนเกาหลีเหนือคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น ดังนั้น ต่อให้ยูเอ็นห้ามส่งน้ำมันโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็คงจะอยู่กันได้สัก 1 ปีเป็นอย่างน้อย โดยลดโควตาน้ำมันที่แจกจ่ายให้กับพวกชนชั้นปกครอง เปลี่ยนจากรถยนต์ แทร็กเตอร์ และเครื่องจักรกลมาใช้เกวียนเทียมวัว แรงงานคน หรืออื่นๆ แทน... และพวกเขาคงจะหาทางผลิตน้ำมันจากทรัพยากรอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศจนได้ เช่น ถ่านหิน ต้นไม้ หรือพืช เป็นต้น”
ผู้แทนจาก 15 ชาติสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งประชุมกันในวันจันทร์ (11 ก.ย.) โหวตเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ต่อร่างมติเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ เพื่อลงโทษที่โสมแดงทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น