รอยเตอร์ - เกาหลีเหนือขู่จะคิดบัญชีกับสหรัฐฯ อย่างสาสมโทษฐานเป็นหัวหอกผลักดันมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะลงมติภายในวันนี้ (11 ก.ย.) เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม นักการทูตระบุว่า ร่างมติที่สหรัฐฯ เขียนขึ้นซึ่งแต่เดิมระบุให้ยูเอ็นสั่งห้ามจำหน่ายน้ำมันให้เกาหลีเหนือ แบนผลิตภัณฑ์สิ่งทอ รวมถึงใช้มาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินของผู้นำ คิม จองอึน ดูเหมือนจะถูกปรับแก้เนื้อหาให้อ่อนลง เพื่อเอาใจจีนและรัสเซียซึ่งถืออำนาจ “วีโต” อยู่ในมือ
รอยเตอร์ ระบุว่า ร่างมติฉบับล่าสุดที่สหรัฐฯ แจกจ่ายไปยังสมาชิกคณะมนตรีทั้ง 15 ชาติไม่ได้ระบุให้มีการขึ้นบัญชีดำผู้นำคิม และยังผ่อนปรนเรื่องการคว่ำบาตรน้ำมันและก๊าซลง แต่ยังคงห้ามนานาชาติซื้อสิ่งทอจากเกาหลีเหนือตามเดิม
การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ซึ่งเกาหลีเหนืออ้างว่าเป็น “ระเบิดไฮโดรเจน” เรียกเสียงประณามจากทั่วโลก ขณะที่ เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการนาโต ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า “การกระทำที่ขาดความยั้งคิด” ของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อทั่วโลก และนานาชาติจะต้องมีมาตรการตอบโต้
วิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลีส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก แต่วันนี้ (11) นักลงทุนใจชื้นขึ้นบ้างที่เกาหลีเหนือฉลองครบรอบ 69 ปีวันก่อตั้งประเทศเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ โดยไม่ได้มีการยิงทดสอบจรวดอีก
อย่างไรก็ดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศโสมแดงได้ออกมาเย้ยหยันสหรัฐฯ ว่า “ลนลาน” ล็อบบี้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นให้ตอบโต้การทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็น “มาตรการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม”
“หากสหรัฐฯ โน้มน้าวให้ยูเอ็นออกมติคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมาย และทำให้เกาหลีเหนือถูกลงโทษหนักขึ้น รับรองว่าเกาหลีเหนือจะทำให้สหรัฐฯ ต้องชดใช้อย่างสาสม” คำแถลงของโฆษกโสมแดงที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ ระบุ
“โลกจะได้เห็นเกาหลีเหนือปราบพยศพวกอันธพาลสหรัฐฯ ด้วยมาตรการอันทรงพลังยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยเห็นมา”
“เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ความร้อนที่มีอานุภาพร้ายแรงอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเราจะใช้มันป้องปรามการกระทำที่ก้าวร้าวและภัยคุกคามนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ และป้องกันอันตรายจากสงครามนิวเคลียร์ซึ่งมีแนวโน้มจะอุบัติขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีและภูมิภาคนี้”
ประธานาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้กล่าวขณะไปเยือนรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การงดขายน้ำมันเพื่อบีบให้โสมแดงยอมกลับสู่โต๊ะเจรจาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และขอให้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียช่วยสนับสนุนแผนการนี้ด้วย ทว่า ปูติน ก็ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่า การงดขายน้ำมันเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินเหตุ และจะซ้ำเติมความทุกข์ยากของพลเมืองเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องนี้มากที่สุดก็คือจีน ซึ่งแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมระบุว่ามีการลำเลียงน้ำมันดิบผ่านท่อส่งน้ำมันเข้าไปยังรัฐโสมแดงประมาณ 520,000 ต่อปี
