xs
xsm
sm
md
lg

‘ปูติน’ขโมยก้าวเดินสำคัญมุ่งแก้ปัญหาเกาหลีเหนือ ขณะ‘ทรัมป์’มัวทวิตด่าทอตอบโต้โสมแดง

เผยแพร่:   โดย: เอ็ม เค ภัทรกุมาร

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

While Trump tweets, Putin steals a march on North Korea
By M K Bhadrakumar
08/09/2017

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย มีภารกิจยุ่งวุ่นวายทีเดียวในสัปดาห์นี้ กับการหว่านโปรยเมล็ดพันธุ์แห่งการทูตซึ่งนำโดยวังเครมลิน เพื่อให้กลายเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขคลี่คลายภาวะอับจนหมดหนทางบนคาบสมุทรเกาหลี

สารจากการประชุม “เวทีหารือเศรษฐกิจตะวันออก” (Eastern Economic Forum หรือ EEF) เป็นเวลา 2 วัน ณ เมืองวลาดีวอลสตอค (เมืองใหญ่ทางภาคตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนจีนและเกาหลีเหนือ -ผู้แปล) ที่เสร็จสิ้นลงในวันพฤหัสบดี (7 ก.ย.) ก็คือว่า “การปักหมุดหวนกลับคืนสู่เอเชีย” (pivot to Asia) ของรัสเซียในระยะเวลาไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ ท่ามกลางกระแสไหลแรงแห่งการลงโทษคว่ำบาตรของโลกตะวันตกที่กระทำต่อแดนหมีขาวนั้น ถึงเวลานี้ได้กลายเป็นทิศทางแกนหลักอย่างหนึ่งของนโยบายการต่างประเทศรัสเซียไปแล้ว

เวทีการประชุม EEF เริ่มต้นขึ้นอย่างสมถะสงบเสงี่ยมในปี 2015 ด้วยระเบียบวาระในการเป็นตู้โชว์ที่มุ่งแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นจริงใหม่” เกี่ยวกับบทบาทของดินแดนภาคตะวันออกไกลของรัสเซียในการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทว่า EEF ในปีนี้กลับลุยน้ำลุยโคลนเข้าไปแสดงบทบาทเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาความมั่นคงที่สำคัญยิ่งยวดของภูมิภาคนี้ ซึ่งก็คือปัญหาเกาหลีเหนือ

หนึ่งในหลายๆ เรื่องซึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซียร์เกย์ ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) เปิดเผยให้ทราบก็คือว่า เกาหลีเหนือจะส่งคณะผู้แทนเข้ามาร่วมการหารือ EEF ปีนี้ด้วย เขากล่าวว่า “ตามที่ผมเข้าใจนั้น คณะผู้แทนของ DPRK (ย่อมาจาก Democratic People's Republic of Korea สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี อันเป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ –ผู้แปล) ที่มาเข้าร่วม EEF นั้นประกอบไปด้วยตัวแทนต่างๆ จากภาคเศรษฐกิจ เรา (รัสเซีย) ก็มีตัวแทนต่างๆ ของบรรดากระทรวงทบวงกรมทางเศรษฐกิจของเราอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่าการประชุมหารือกันภายในโครงสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศทั้งสอง จะบังเกิดขึ้นมา”

สิ่งนี้มีขึ้นในจังหวะเวลาที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังเพิ่มระดับความดุเดือดในวาจาถ้อยคำของพวกเขา และกำลังเรียกร้องให้กระทำการลงโทษคว่ำบาตรเกาหลีเหนือหนักหน่วงยิ่งขึ้น เรื่องที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ประธานาธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้ ก็เข้าร่วมการประชุม EEF ด้วย รวมทั้งได้หาเวลาปลีกตัวมาประชุมข้างเคียงกับประธานาธิบดีปูติน ในวลาดีวอลสตอค เมื่อวันพุธ (6 ก.ย.)

มุนอาจจะกำลังยกย่องชมเชยปูตินอยู่อย่างเงียบๆ จากการที่ประธานาธิบดีรัสเซียพูดอะไรต่างๆ เกี่ยวกับเกาหลีเหนืออย่างตรงไปตรงมา ชนิดที่ตัวเขาเองยังไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่เมืองเซี่ยเหมิน ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันอังคาร (5 ก.ย.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิตของกลุ่มประเทศ “บริกส์” (BRICS) ปูตินได้พูดจาอย่างชัดเจนเรียบง่ายเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากล่าวเอาไว้ดังนี้:

“ทุกๆ คนยังคงจดจำกันได้ดีสิ่งที่เกิดขึ้นกับอิรักและซัดดัม ฮุสเซน ฮุสเซนนั้นได้ยกเลิกละทิ้งไม่ได้มีการผลิตอาวุธเพื่อการทำลายล้างรุนแรง (weapons of mass destruction) แล้ว กระนั้นก็ตาม ... ตัวซัดดัม ฮุสเซนเอง และครอบครัวของเขาได้ถูกฆ่าตาย ... แม้กระทั่งเด็กๆ ก็ตายไปด้วยในตอนนั้น หลานปู่ของเขาคนหนึ่ง ผมเชื่อว่า ก็ได้ถูกยิงเสียชีวิตไป ประเทศนั้นถูกทำลาย ... ฝ่ายเกาหลีเหนือก็ตระหนักรับทราบเรื่องนี้เหมือนกันและจดจำมันได้เช่นเดียวกัน พวกคุณคิดว่าภายหลังจากการนำเอามาตรการลงโทษคว่ำบาตรบางอย่างบางประการออกมาใช้แล้ว เกาหลีเหนือจะยกเลิกละทิ้งเส้นทางของเขาในการสร้างอาวุธเพื่อการทำลายล้างรุนแรงไปหรือ? “แน่นอนทีเดียว ฝ่ายเกาหลีเหนือจะไม่ลืมเลือนมันอย่างแน่นอน การลงโทษคว่ำบาตรไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนลักษณะใดก็ตามที ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์และไร้ประสิทธิภาพในกรณีนี้ อย่างที่ผมได้กล่าวกับเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งเมื่อวานนี้แหละครับ พวกเขายินดีจะกินหญ้า แต่พวกเขาจะไม่ยอมยกเลิกละทิ้งโครงการนี้ ยกเว้นแต่เมื่อพวกเขารู้สึกว่ามีความปลอดภัยแล้ว”

ภายหลังการเจรจาหารือกับมุน ปูตินได้รบเร้าอีกครั้งหนึ่งว่าการสนทนากันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับการคลี่คลายวิกฤตเรื่องนี้ ปูตินนั้นตระหนักเป็นอย่างดีว่ามุนมีบทบาทอันสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯหันไปใช้ความเสี่ยงทางการทหาร และเขาไม่มีทางที่จะไม่ตระหนักรับรู้ว่ามีรอยแตกรอยร้าวฉานบางอย่างบางประการปรากฏขึ้นในความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ในระยะหลังๆ มานี้ คำพูดของมุน ซึ่งเขากล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับปูตินเมื่อวันพุธ (6 ก.ย.) ถือว่ามีความสำคัญมาก ทั้งนี้เขาพูดเอาไว้อย่างนี้:

ท่านประธานาธิบดี(ปูติน) และผม ยังเห็นพ้องต้องกันในเรื่องการสร้างพื้นฐานสำหรับการทำให้เกิดและการนำเอาพวกโครงการไตรภาคีที่มีการเข้าร่วมของสองเกาหลีและรัสเซีย มาปฏิบัติให้บังเกิดผล ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงคาบสมุทรเกาหลีเข้ากับภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย ... พวกเราได้ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ แก่โครงการต่างๆ เหล่านี้ซึ่งสามารถที่จะนำมาปฏิบัติให้บังเกิดผลได้ในอนาคตอันใกล้ โดยที่สำคัญแล้วคือในภาคตะวันออกไกล การพัฒนาของภาคตะวันออกไกลจะเป็นการส่งเสริมความรุ่งเรืองมั่งคั่งของประเทศของเราทั้งสอง และยังจะช่วยในการเปลี่ยนแปลงเกาหลีเหนือ และสร้างพื้นฐานสำหรับการทำให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงไตรภาคีอย่างบังเกิดผลอีกด้วย พวกเราจะทำงานอย่างหนักในเรื่องนี้”

ผมของทบทวนความจำกันหน่อยนะครับ ในอดีตที่ผ่านมานั้นมอสโกได้เคยเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานอันชัดเจนหลายโครงการซึ่งจะนำเอาเกาหลีเหนือมาเกี่ยวข้องร่วมมือด้วย และก็น่าจะมีศักยภาพในการทำให้ภูมิภาคแถบนี้มีเสถียรภาพ เป็นต้นว่า การขยายระบบทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเข้าไปยังเกาหลีใต้โดยผ่านเกาหลีเหนือ, สายท่อส่งก๊าซที่ติดต่อเชื่อมโยงเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือกับบ่อน้ำมันและบ่อก๊าซอันใหญ่โตกว้างขวางในภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย, และสายส่งไฟฟ้าที่จะนำเอากระแสไฟฟ้าส่วนเกินจากภาคตะวันออกไกลของรัสเซียไปยังคาบสมุทรเกาหลี

พวกบริษัทเกาหลีใต้กำลังมีส่วนร่วมอยู่ในโครงการพลังงาน “ซาฮาลิน-1” (Sakhalin-1) และ “ซาฮาลิน-2” (Sakhalin-2) อยู่แล้ว รวมทั้งเวลานี้กำลังเจรจากับรัสเซียในเรื่องการส่งก๊าซธรรมชาติในรูปของเหลว (ก๊าซ LNG) อู่ต่อเรือหลายแห่งของเกาหลีใต้กำลังวาดหวังที่จะสร้างเรือบรรทุกก๊าซรวม 15 ลำเพื่อใช้ขนส่งก๊าซจากโรงงาน ยามัล LNG (Yamal LNG) ในภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย

ปูตินกล่าวย้ำในการแถลงข่าวร่วมกับมุนว่า “รัสเซียยังคงมีความปรารถนาที่จะทำให้เกิดและนำเอาโครงการไตรภาคีมาปฏิบัติให้บังเกิดผล ด้วยการเข้าร่วมของเกาหลีเหนือ” เขาพูดถึงเป็นพิเศษเกี่ยวกับ 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น และเสริมว่า “การนำเอาความริเริ่มเหล่านี้มาปฏิบัติให้เกิดผล จะไม่เพียงเป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างความไว้วางใจและเสถียรภาพขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีอีกด้วย”

คำถามใหญ่มีอยู่ว่า คณะผู้แทนของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีการติดต่อกันในบางรูปแบบหรือไม่ ข้างเคียงการประชุม EEF ในวลาดีวอลสตอคคราวนี้ รัสเซียในฐานะที่เป็นประเทศเจ้าภาพ ย่อมมีความโดดเด่นมากที่จะแสดงบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้แก่การติดต่อเหล่านี้

ไม่ว่าอย่างไร มอสโกก็มีความปรารถนาที่จะแสดงบทบาทเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างเกาหลีทั้งสอง ชนิดที่ไม่มีเมืองหลวงอื่นๆ แห่งใดในโลกเวลานี้สามารถกระทำได้ ทั้งนี้มอสโกสามารถที่จะพูดจากับเปียงยางจนกระทั่งเกาหลีเหนือเพิ่มระดับความสบายอกสบายใจและบูรณาการโสมแดงเข้าไปอยู่ในความร่วมมือระดับภูมิภาค เวลาเดียวกันรัสเซียก็สามารถบรรเทาความห่วงกังวลเกี่ยวกับการดำรงคงอยู่ของเกาหลีใต้ ไพ่สำคัญที่สุดของมอสโกอยู่ที่การมีช่องทางสื่อสารอย่างพิเศษสุดกับเปียงยาง และการมีผลประโยชน์ร่วมอยู่กับโซล (และปักกิ่ง, ตลอดจนโตเกียว) ในเรื่องต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามที่บังเกิดผลเป็นความวิบัติหายนะ

ภายใต้สถานการณ์อันเอื้ออำนวยเช่นนี้ การดำเนินการทางการทูตของรัสเซียจึงอาจบังเกิดผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้นมาได้ ขณะเดียวกับที่ก่อให้เกิดสันติภาพ ก็ยังมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดความมั่งคั่งและการแบ่งปันความเจริญรุ่งเรืองกัน ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับเสถียรภาพระดับภูมิภาค อีกทั้งช่วยเหลือการพัฒนาของภาคตะวันออกไกลของรัสเซียเองด้วย น่าสนใจมากว่าในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี หวัง หยาง (Wang Yang) ของจีน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลแผนการริเริ่มหนึ่งแถบเศรษฐกิจหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีน ก็ได้เข้าร่วมเวทีประชุม EEF คราวนี้ด้วย

ปูตินมาถึงวลาดีวอลสตอค โดยเพิ่งกลับมาจากเมืองเซี่ยเหมิน ในประเทศจีน ซึ่งที่นั่นเมื่อวันจันทร์ (4 ก.ย.) เขาได้พบปะหารือรายละเอียดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เกี่ยวกับสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ทั้งนี้มีหลักฐานปรากฏให้เห็นแล้วว่า จีนกับรัสเซียมีความร่วมมือกันเป็นอย่างสูงทีเดียวในเรื่องเกาหลีเหนือ

แผนการริเริ่มเพื่อสันติภาพใดๆ ก็ตามของฝ่ายรัสเซียในเรื่องเกาหลีเหนือ จะมีความหมายเท่ากับเป็นการสะท้อนความล้มเหลวของคณะผู้นำในวอชิงตันไปด้วย คณะบริหารทรัมป์ไม่น่าที่จะมองดูด้วยใจสงบได้หากสถานการณ์ดำเนินไปในแนวทางนี้จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลกระทบต่อเนื่องต่างๆ อันกว้างไกล ที่จะมีต่อระบบการผูกพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯในตะวันออกไกล

เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) รวมทั้งเขียนให้เอเชียไทมส์เป็นประจำตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
กำลังโหลดความคิดเห็น