เอเอฟพี - แม้อเมริกาเตือนว่าจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางทหารขั้นรุนแรงต่อการคุกคามจากเกาหลีเหนือ แต่เอาเข้าจริงคณะบริหารของ “ทรัมป์” มีทางเลือกดีๆ น้อยมากที่สามารถบังคับให้เปียงยางระงับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ หลังจากที่โสมแดงเพิ่งทดสอบนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดเมื่อวันอาทิตย์ (3 ก.ย.)
ทั้งนี้ ตัวเลือกที่มีหวังที่สุดของวอชิงตันอาจเป็นการขยายมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจให้กว้างขวางและเด็ดขาดมากขึ้นเพื่อให้คิม จองอึนรู้จักหักห้ามตัวเองบ้าง
**การโจมตีทางทหาร - ไม่น่าเป็นไปได้**
การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือไม่มีแนวโน้มทำให้สมการของอเมริกาเปลี่ยนไปแต่อย่างใด จะมีก็แต่คำพูดที่ดุเดือดขึ้นเท่านั้น
วันอาทิตย์(3) จิม แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศว่า ถ้ามีภัยคุกคามต่อเมริกาหรือดินแดนของอเมริกาอย่างเกาะกวม ตลอดจนชาติพันธมิตรของสหรัฐฯแล้ว เกาหลีเหนือจะถูกตอบโต้ด้วยมาตรการทางทหารขั้นรุนแรง
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตว่า โสมแดงเข้าใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งน่าจะหมายถึงการใช้กำลัง
แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การใช้กำลังทหารมีข้อจำกัดอย่างชัดเจน
มาร์ก ฟิตซ์แพทริก ผู้อำนวยการบริหารสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ชี้ว่า ขณะนี้ ทางเลือกทางการทหารที่จะนำมาใช้โจมตีเกาหลีเหนือ ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเลย เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ
เกาหลีเหนือนั้นส่งหน่วยปืนใหญ่ทรงอานุภาพไปประจำการที่ชายแดนติดเกาหลีใต้พร้อมถล่มโจมตีกรุงโซลที่มีประชากร 10 ล้านคนและอยู่ห่างออกไปเพียง 55 กิโลเมตรทุกเมื่อ ดังนั้น หากอเมริกาเปิดฉากลุยเกาหลีเหนือ จะเท่ากับเป็นการจุดชนวนมหาอัคคีภัยให้มอดไหม้เกาหลีทั้งสองฝั่งและอาจลุกลามเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาคในชั่วพริบตา
จอห์น วูล์ฟทัล จากคาร์เนกี เอนดาวเมนต์ ฟอร์ อินเตอร์เนชันแนล พีซ ขานรับว่า อเมริกาไม่ควรตื่นตกใจเกินไป เพราะแม้การทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นพัฒนาการที่สร้างปัญหา แต่ลักษณะความท้าทายที่อเมริกาต้องเผชิญยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องตอบโต้ทางทหาร ซึ่งว่าที่จริงไม่มีตัวเลือกที่ใช้ได้เลยในขณะนี้
**การเพิ่มความกดดันทางทหาร**
อเมริกาอาจเปลี่ยนไปใช้วิธีเพิ่มความกดดันทางทหารต่อเปียงยางแทนการโจมตีจริง
ก่อนที่โสมแดงจะทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุด ผู้นำวอชิงตันและโซลตกลงกันว่า จะเพิ่มสมรรถนะขีปนาวุธของเกาหลีใต้
ฟิตซ์แพทริกชี้ว่า ตัวเลือกทางทหารที่เป็นไปได้ ควรครอบคลุมถึงการเคลื่อนย้ายทรัพยากรไปยังคาบสมุทรเกาหลีเพิ่ม และตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ โซลกำลังต้องการพิจารณาติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ด้านยุทธวิธีของอเมริกา ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนแต่ใช้ได้จริง
ทั้งนี้ อเมริกาเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ด้านยุทธวิธีออกจากเกาหลีใต้ตั้งแต่เมื่อ 25 ปีที่แล้ว
อีกรูปแบบหนึ่งของการกดดันโดยไม่ใช้อาวุธคือ การใช้ถ้อยคำห้าวหาญชวนทะเลาะแบบที่ทรัมป์ถนัด เช่น ตอนที่เตือนเกาหลีเหนือว่า จะเจอกับ “ไฟและความโกรธเกรี้ยว” วันอาทิตย์(3) แมตทิสเข้มขึ้นอีกระดับด้วยการประกาศความเป็นไปได้ในการทำลายล้างเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก ถ้าเกาหลีเหนือยังไม่ยอมหยุด
แต่ถ้อยคำขู่คำรามก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นเมื่อปลายเดือนที่แล้วที่ทรัมป์บอกว่า คิมเริ่มเคารพอเมริกาแล้ว หลังจากที่ตัวเองขู่เรื่อง “ไฟและความโกรธเกรี้ยว” ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น เกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธข้ามหัวญี่ปุ่น และทดสอบนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่าระเบิดที่อเมริกาใช้ถล่มฮิโรชิมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
**บทลงเอยที่การแซงก์ชันทางเศรษฐกิจอย่างแข็งขันยิ่งขึ้น**
ท่าทีล่าสุดของคณะบริหารของสหรัฐฯ ดูเหมือนโน้มเอียงไปที่มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ
ทรัมป์ทวิตว่า นอกจากตัวเลือกต่างๆ แล้ว อเมริกากำลังพิจารณายุติการค้าขายและการทำธุรกิจทั้งหมดกับประเทศที่ทำการค้าและทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ
สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า กำลังจัดทำข้อเสนอลงโทษทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงขึ้นต่อประเทศที่ทำธุรกิจกับโสมแดงเพื่อให้ทรัมป์พิจารณา และว่า เขาต้องการร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงจีนที่ซื้อสินค้าออกเกาหลีเหนือถึง 90%
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 เดือนที่แล้ว อเมริกาเพิ่งประกาศมาตรการลงโทษบุคคล 6 คนและบริษัท 10 แห่งของรัสเซียและจีนที่ทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ
อเมริกายังอยู่เบื้องหลังมาตรการลงโทษของสหประชาชาติ ต่อเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด ซึ่งได้รับฉันทามติในคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และมาตรการแซงก์ชันครั้งที่ 7 ดังกล่าวพุ่งเป้าตัดรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการขายถ่านหิน เหล็ก และอาหารทะเลของเกาหลีเหนือ
สำหรับขั้นตอนต่อไปของยูเอ็นอาจเป็นการคว่ำบาตรน้ำมันบางส่วนหรือทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีอีกตัวเลือกหนึ่งที่เจ้าหน้าที่อังกฤษในยูเอ็นหยิบยกขึ้นมา นั่นคือการกำหนดให้รัสเซียและจีนส่งแรงงานเกาหลีเหนือกลับบ้าน ค่าจ้างของแรงงานเหล่านี้ถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเปียงยาง