สำนักข่าวเอพีอ้างอิงเอกสารลับ “ปานามา เปเปอร์ส” ขุดคุ้ยธุรกิจออฟชอร์ซึ่งเป็นช่องทางให้ตระกูล “อยู่วิทยา” เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่ม “กระทิงแดง” ปกปิดการซื้อเครื่องบินส่วนตัวและอสังหาริมทรัพย์สุดหรู ซึ่งรวมถึงบ้านในกรุงลอนดอนซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนเห็น “บอส - วรยุทธ อยู่วิทยา” หลานชายเจ้าสัวเฉลียวผู้ก่อตั้งกิจการ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายระหว่างหนีคดีขับรถชนตำรวจตายคาเครื่องแบบ
รายงานของเอพีชี้ว่า ความพยายามปกปิดทรัพย์สินของตระกูลอยู่วิทยาเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เล่นทางการเงินระดับโลกนั้นสามารถโยกย้ายเงินเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ได้อย่างง่ายดายและถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่การตรวจสอบจากทางการนั้นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย
การทำธุรกรรมออฟชอร์อย่างลับๆ ของครอบครัวนี้ถูกตีแผ่ขึ้นมาโดยบังเอิญจากกรณีที่ วรยุทธ หรือ “บอส” บุตรชายของ เฉลิม อยู่วิทยา ขับรถเฟอร์รารีชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว แต่ไม่ยอมไปแสดงตัวตามหมายเรียก และเป็นที่ครหากันมานานว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรู้เห็นเป็นใจให้คนผิดลอยนวล
เดือน เม.ย. ปีนี้ ผู้สื่อข่าวเอพีได้ตามแกะรอยจากโพสต์กว่า 120 โพสต์บนอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กของเพื่อนและครอบครัวบอส จนไปพบบ้านพักของตระกูลอยู่วิทยาในกรุงลอนดอน รวมทั้งพบตัวบอสที่บริเวณหน้าบ้านหลังนี้ด้วย ทว่าเจ้าตัวไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ
ทางการไทยอ้างว่าไม่รู้ผู้ต้องหารายนี้หลบหนีไปอยู่ที่ไหน และสิ่งที่ทำได้ก็คือการเพิกถอนหนังสือเดินทาง และออกหมายจับ
การสืบหาสถานที่กบดานของ บอส อยู่วิทยา ได้นำไปสู่การศึกษาสืบค้น “ปานามา เปเปอร์ส” หรือเอกสารทางการเงินลับที่มีผู้นำออกมาเปิดโปงรวมทั้งสิ้น 11 ล้านฉบับ เอกสารเหล่านี้เป็นของบริษัท มอสแซค ฟอนเซกา บริษัทกฎหมายในปานามาซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก และเป็นตัวแทนของบรรดามหาเศรษฐีและผู้มีอำนาจที่ต้องการปกปิดทรัพย์สินเงินทอง
หนังสือพิมพ์ “ซุดดอยช์ ไซตุง” ของเยอรมนีคือสื่อเจ้าแรกที่ได้รับเอกสารปานามา และได้นำไปศึกษาวิจัยร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวสายสืบสวนนานาชาติ โดยเริ่มเผยแพร่รายงานกับองค์กรสื่อต่างๆ เมื่อปี 2016 การเปิดโปงดังกล่าวทำให้ผู้มั่งคั่งและผู้มีอำนาจมากมายในกว่า 70 ประเทศถูกตรวจสอบ และมีหลายคนที่ถึงขั้นถูกปลดออกจากตำแหน่ง เช่น นายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ แห่งปากีสถาน
ข้อมูลในปานามาเปเปอร์บ่งชี้ว่า มีสินทรัพย์ราวๆ 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ถูกซุกซ่อนโดยบริษัทเกือบ 400 แห่งทั่วโลก รายงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี 2017 และยังกระตุ้นให้คณะกรรมาธิการยุโรปและรัฐบาลอีกหลายประเทศต้องลุกขึ้นมาจัดการกับแหล่งหลบเลี่ยงภาษีนอกประเทศ
เอพี ระบุว่า เครือข่ายบริษัทออฟชอร์ของตระกูลอยู่วิทยาซึ่งดำเนินการจัดตั้งโดย มอสแซค ฟอนเซกา นั้นมีความซับซ้อนอย่างมาก และไม่มีชื่อ “อยู่วิทยา” หรือแบรนด์กระทิงแดงเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่ถึงกระนั้นเอกสารที่เอพีได้รับมาก็แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวนี้มีการใช้บริษัทนิรนามซึ่งจัดตั้งขึ้นในดินแดนที่ไม่มีการเก็บภาษีโดยตรง มาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว
ตระกูลอยู่วิทยาซึ่งเป็นเจ้าของกิจการกระทิงแดงในระดับนานาชาติร่วมกับ ดีทริช เมเทสซิตซ์ (Dietrich Mateschitz) นักธุรกิจออสเตรีย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวเอพีซึ่งติดต่อไปขอสัมภาษณ์หลายครั้ง ขณะที่กระทิงแดงออกคำแถลงว่า สถานะทางกฎหมายของ บอส เป็นเรื่องของตระกูลอยู่วิทยา ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท และในฐานะที่เป็นเอกชน กระทิงแดงจึงมีสิทธิ์ที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลด้านการค้าและการเงิน
ผู้เชี่ยวชาญระบุตรงกันว่า การเปิดบริษัทออฟชอร์เพื่อเลี่ยงภาษีนั้นไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และนักธุรกิจใหญ่ๆ ทั่วโลกก็ทำกัน รวมถึงตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และบริษัทเปลือกเหล่านี้ก็ช่วยให้การกระจายสินทรัพย์ในหลายประเทศทำได้ง่ายขึ้น
เอพีย้ำว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าตระกูลอยู่วิทยาทำผิดกฎหมาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกรรมการเงินที่เป็นความลับเช่นนี้อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเลี่ยงภาษีหรือฟอกเงิน
เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทนายของ บอส แจ้งต่อศาลไทยว่าทายาทกระทิงแดงวัย 32 ปี ไม่สามารถเดินทางมารับทราบคำสั่งฟ้อง เนื่องจากติดภารกิจในสหราชอาณาจักร ผู้สื่อข่าวเอพีคนหนึ่งก็ได้ไปเจอ บอส ที่หน้าบ้านพักในลอนดอน และตะโกนถามเขาว่า “คุณติดภารกิจอะไรในสหราชอาณาจักรหรือบอส? คุณทำอะไรอยู่ที่นี่? คุณจะกลับเมืองไทยไปพบอัยการไหม?”
ชายหนุ่มผู้ถูกถามเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ และไม่ให้คำตอบอะไร หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง บอสและพ่อแม่ของเขาก็รีบหิ้วกระเป๋าเผ่นออกจากบ้านพักหรูซึ่งเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้วันเกิดและงานเลี้ยงภายในครอบครัวอยู่วิทยามานานหลายปี
นั่นคือเหตุการณ์เมื่อเดือน เม.ย. และเป็นครั้งสุดท้ายที่สาธารณชนได้พบเห็น บอส
เอพี ระบุว่า บ้านก่ออิฐ 5 ชั้นที่ลอนดอนนั้นเป็นบ้านซึ่ง เฉลิม อยู่วิทยา พ่อของบอส ระบุเป็นที่อยู่ในเอกสารขณะดำเนินการก่อตั้งบริษัท ไทย สยาม ไวเนอรี ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2002 ขณะที่ ดารณี แม่ของบอส ก็ใช้บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่ขณะเปิดธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านหลังงามดังกล่าว รวมถึงอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับล้านดอลลาร์อีกอย่างน้อย 4 แห่งในลอนดอน กลับไม่ใช่คนในตระกูลอยู่วิทยา แต่ตามเอกสารปานามาระบุว่าเป็นบริษัท คาร์นฟอร์ต อินเวสเมนต์ ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน โดยบริษัทแห่งนี้มี เจอร์ราร์ด คอมปานี เป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว ขณะที่ผู้ถือหุ้น 1 ใน 3 ของเจอร์ราร์ดเป็นบริษัทออฟชอร์ที่มี เจเค ฟลาย ถือหุ้นอยู่ 25% และเจ้าของ เจเค ฟลาย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น คาร์นฟอร์ต นั่นเอง
นอกจากนี้ เจอร์ราร์ด ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะบริติชเวอร์จินเช่นเดียวกัน ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักของธุรกิจกระทิงแดงในสหราชอาณาจักร
บริษัทออฟชอร์สารพัดแห่งของตระกูลอยู่วิทยามีความเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน โดยมีนายหน้า เลขานุการ กรรมการ และผู้บริหาร ที่ได้รับค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อลงชื่อในแบบฟอร์มและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแทนเจ้าของตัวจริงที่ชื่อเสียงเรียงนามยังคงถูกปิดเป็นความลับ
เอกสารปานามาระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเวียนผ่านนิติบุคคลเหล่านี้จำนวนมาก เช่นเมื่อปี 2005 เจอร์ราร์ด ได้ปล่อยกู้ 6.5 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ คาร์นฟอร์ต นำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ 2 แห่งในลอนดอน ต่อมาในปี 2012 เจอร์ราร์ดยกเลิกสัญญาจำนองดังกล่าว และยกอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นให้เป็นของ คาร์นฟอร์ต นอกจากนี้นับจากปี 2010 เจเค ฟลาย ได้รับเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยประมาณ 14 ล้านดอลลาร์จาก คาร์นฟอร์ต ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท เพื่อนำไปซื้อเครื่องบิน
ศาสตราจารย์ เจสัน ชาร์แมน จากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธในออสเตรเลีย ซึ่งค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการทุจริตและฟอกเงิน ระบุว่า การโอนเงินโดยไม่ระบุชื่อผู้ทำธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นปกติ ไม่ว่าจะในรูปแบบที่ถูกหรือผิดกฎหมายก็ตาม แต่สิ่งสำคัญก็คือ ตัวแทนที่เดินเรื่องเคลื่อนย้ายเงินย่อมต้องรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงเป็นใคร
แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอไป ตัวอย่างเช่น ในปี 2010 และ 2013 ผู้สอบบัญชีของสำนักงานใหญ่ มอสแซค ฟอนเซกา ตั้งข้อสังเกตว่า เอกสารยืนยันเจ้าของที่แท้จริงของ คาร์นฟอร์ต และ เจอร์ราร์ด ได้สูญหายไป และเตือนว่าหากถูกตรวจพบ บริษัทอาจถูกปรับทั้งในทางปกครองและตามกฎหมายเป็นเงินมหาศาล
อย่างไรก็ตาม เอพีไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ทั้งสองบริษัทเคยมอบเอกสารดังกล่าวฉบับสมบูรณ์ให้ มอสแซค ฟอนเซกา หรือไม่
อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อสำนักงานในปานามาของ มอสแซค ฟอนเซกา สั่งให้ตัวแทนในไทยทำการสอบทานธุรกิจของมหาเศรษฐีพันล้านชื่อดังของเมืองไทยคนหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธแข็งขัน
ทั้งนี้ เมื่อถูกขอให้แสดงสำเนาหนังสือเดินทางที่ได้รับการรับรอง ชื่อเจ้าของ และจดหมายอ้างอิง สตีฟ วากเนอร์ เจ้าหน้าที่ของ มอสแซค ฟอนเซกา ในสำนักงานในกรุงเทพฯ กลับระบุว่า เรื่องดังกล่าว “ไร้สาระ” พร้อมสำทับว่า พวกคนมีอันจะกินในเมืองไทยล้วนรู้จักหรือมีเส้นสายกับนักการเมืองทั้งสิ้น และตนจะไม่นำการล่าแม่มดเช่นนี้ไปเซ้าซี้กวนใจพวกลูกค้าชั้นดี
เอพีชี้ว่า ในขณะที่หลายประเทศมีมาตรการตอบสนองที่รวดเร็วและเด็ดขาดต่อการเปิดโปงข้อมูลในปานามาเปเปอร์ส ทว่าไม่ใช่กรณีของไทย และแม้เอกสารลับฉบับนี้จะเอ่ยพาดพิงคนไทยมากกว่า 1,400 ราย แต่รัฐบาลกลับปฏิเสธแข็งขันว่าเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูล
ปีที่แล้ว สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ระบุว่า ได้มีการตรวจสอบอดีตนักการเมืองและนักธุรกิจนับสิบๆ ราย แต่จนถึงบัดนี้กลับยังไม่ได้ข้อสรุปว่ามีการก่ออาชญากรรมหรือไม่ และทาง ปปง. เองก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเอพี
ศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลทางธุรกิจและการฟอกเงิน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกกับเอพีว่า “ใครๆ เขาก็ใช้วิธีซุกซ่อนเงินโกงกันแบบนี้” พร้อมปฏิเสธที่จะเอ่ยพาดพิงถึงตระกูลอยู่วิทยา บุคคล หรือบริษัทใดๆ เป็นการเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ศ.วีระพงษ์ยอมรับว่า ในยุคที่ประเทศถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร การตรวจสอบและเอาผิดกับบรรดาเศรษฐีเหล่านี้ “มีโอกาสน้อยมาก” เพราะแม้รัฐบาลจะให้สัญญาปราบโกง แต่เศรษฐีเมืองไทยนั้นมีอิทธิพลกว้างขวาง และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรัฐบาลที่จะทลายเครือข่ายอันซับซ้อนนี้ได้
สุมาพร มานะสันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของกระทรวงการคลัง ระบุว่า ไทยไม่มีกรอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานสากลในการปราบปรามการฟอกเงินและการระดมทุนของผู้ก่อการร้าย ขณะที่การเลี่ยงภาษีโดยฝากเงินในบัญชีนอกประเทศที่ไม่ต้องระบุชื่อก็เป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต และพบได้ทั่วไป
สุมาพร ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่า “การวางแผนทางภาษี” นี้ทำให้รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้มหาศาล ที่อาจจะนำไปก่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น สะพาน ถนนหนทาง และโรงเรียนได้อีกมากมาย
เมื่อปี 1987 เฉลียว อยู่วิทยา ซึ่งเป็นปู่ของ บอส ได้นำบริษัท ที.ซี. ฟาร์มา ร่วมลงทุนกับ ดีทริช เมเทสซิตซ์ เพื่อบุกเบิกตลาดเครื่องดื่มชูกำลังผสมกาเฟอีนในไทย ต่อมากระทิงแดงได้ขยายตลาดสู่ต่างประเทศภายใต้แบรนด์ “เรดบูล” จนปัจจุบันมีเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อนี้วางจำหน่ายใน 170 ประเทศทั่วโลก
เรดบูลยังเข้าสู่วงการกีฬาโดยสนับสนุนทีมแข่งรถ เครื่องบิน และกีฬาประเภทเอ็กซ์ตรีมอีกมากมาย
จากรายงานผลประกอบการของเรดบูลในปีที่แล้วพบว่ามีกำไรสุทธิถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับกรณีของ บอส ซึ่งขับรถเฟอร์รารีชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตผู้บังคับหมู่ปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2012 ได้จุดประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดของคนร่ำรวย และบั่นทอนภาพลักษณ์ของแบรนด์ “เรดบูล” ในระดับโลก แม้เหตุการณ์จะล่วงเลยมาแล้วกว่า 4 ปี แต่ “บอส” ก็ยังไม่เดินทางกลับมาต่อสู้คดี
หนังสือพิมพ์ โทรอนโต ซัน ได้ลงข้อความพาดหัวเรื่องนี้ว่า “ทายาทเรดบูลที่โดนสปอยล์” ขณะที่เว็บไซต์ time.com ระบุว่า “ดูเหมือนเงินจะซื้อได้ทุกอย่างในประเทศไทย แม้แต่กระบวนการยุติธรรม”
ทางตำรวจได้แจ้ง 3 ข้อหากับ บอส ได้แก่ ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด, ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยข้อหาขับรถเร็วเกินกำหนดนั้นคดีขาดอายุความไปตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. ปี 2013 ส่วนข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือนกำลังจะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. ปีนี้
เอพี ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งที่เหตุการณ์เกิดมานานเกือบ 5 ปีแล้ว แต่ตำรวจไทยกลับเพิ่งมาออกหมายจับ บอส เอาเมื่อต้นปีนี้เอง และจากการแกะรอยของเอพีก็พบว่า หลังก่อคดีขับรถชนคนตาย ทายาทกระทิงแดงยังสามารถตระเวนเดินทางไปทั่วโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว ใช้ชีวิตหรูหราเป็นปกติสุข และไปนั่งชมการแข่งขันรถฟอร์มูลาวันทีม “เรดบูล เรซซิง” อยู่เป็นประจำ
แม้การถูกออกหมายจับจะทำให้ไลฟ์สไตล์ของ บอส เปลี่ยนไปบ้าง เพราะเขาไม่ได้ปรากฏตัวเชียร์ทีมเรดบูลในรายการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ แม้แต่เพื่อนฝูงก็หยุดโพสต์ภาพถ่ายของเขาในงานปาร์ตี้ต่างๆ ทว่าผลกระทบร้ายแรงจากการหนีคดีที่เจ้าตัวอาจคิดไม่ถึงก็คือ การสืบสวนไล่บี้ของสื่อที่อาจนำมาสู่การเปิดโปงธุรกิจออฟชอร์อันลึกลับซับซ้อนของตระกูลอยู่วิทยา
โรเนน พาลัน อาจารย์จาก ซิตี ยูนิเวอร์ซิตี ลอนดอน ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินผ่านแหล่งเลี่ยงภาษี ยืนยันว่า หากมองอย่างผิวเผินก็ยังไม่เห็นว่าตระกูลอยู่วิทยาทำอะไรที่ผิดกฎหมาย
“แต่อย่างน้อยที่สุด เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็บ่งชี้ถึงความพยายามเลี่ยงภาษี” พาลัน ระบุ